
“บลูมเบิร์ก” เก็บข้อมูลตลาดรถ EV มาแรงเกินคาด “อาเซียน” โตกว่า 200% แบรนด์จีนกินส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 90% แถมยังได้รับอานิสงส์ราคาแบตเตอรี่ถูกลง ผู้ผลิตกดราคาลงเท่ารถสันดาป ชี้ปี’69 รถใช้น้ำมันตลาดจะหดตัวสูงถึง 40% ด้านฝ่ายวิจัยน้ำมันเล็งหากจะก้าวสู่ net zero ต้องขายรถมีเครื่องยนต์คันสุดท้ายภายในปี 2569 เท่านั้น
นายแอลเลน ทอม อับราฮัม ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท บลูมเบิร์ก นิว เอเนอร์จี้ ไฟแนนซ์ (บีเอ็นอีเอฟ) เปิดเผยรายงานแนวโน้มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ปี 2566 ในภูมิภาคอาเซียน และนับเป็นรายงานฉบับที่ 8 ตั้งแต่เริ่มจัดทำขึ้น โดยรายงานได้วิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์การนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ การใช้บริการขนส่งร่วมกันและยานยนต์ไร้คนขับและปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการคมนาคมขนส่งทางถนนในอนาคต
นายอับราฮัมกล่าวอีกว่า การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของภูมิภาคอาเซียนรวมถึงเป้าหมายที่จะไปสู่ net zero ภายในปี 2593 พบว่า ในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น เปลี่ยนมาใช้รถ EV อย่างรวดเร็ว โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา
กลุ่มรถจักรยานยนต์ EV และสามล้อ EV มีสัดส่วนเกือบครึ่งหรือ 49% จากตลาดรวม 292,424,403 คัน ขณะที่กลุ่มรถบรรทุก EV มีสัดส่วนในตลาด 3% จากตลาดรวม 965,442 คัน ขณะที่รถยนต์นั่ง EV มีสัดส่วน 14% จากตลาดรวม 26,583,856 คัน (ในจำนวนนี้รวมถึงรถปลั๊ก-อิน ไฮบริดด้วย) และกลุ่มรถบัสมีสัดส่วน 38% จาก 666,479 คัน
“กลุ่มประเทศที่เป็นเจ้าตลาดรถ EV ยังเป็นจีนและยุโรปถือเป็นผู้นำในการใช้ EV ในตลาดรถยนต์นั่งและวันนี้ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง และที่น่าสนใจคือ กลุ่มประเทศในตลาดอาเซียน มีอัตราการเติบโตของรถ EV สูงถึง 220% อินเดีย 219% ญี่ปุ่น 100% และออสเตรเลีย 95%”
สำหรับประเทศไทยรถ EV ปัจจุบันมีสัดส่วนในตลาดราว ๆ 5% จากยอดขายรวมทั้งประเทศ 8-9 แสนคัน สาเหตุการเติบโตของตลาดรถ EV ในไทย มาจากนโยบายการสนับสนุนและส่งเสริมจากภาครัฐ รวมถึงผู้ผลิตจากจีนนำเสนอแบรนด์ EV ที่หลากหลายทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ส่วนรถ EV ที่ขายในประเทศอาเซียนกว่า 50% นั้นเป็นแบรนด์ EV จากจีน และประเมินว่ายอดขายรถ EV จะเพิ่มจาก 10.5 ล้านคันในปี 2565 เป็น 75 ล้านคันในปี 2583 โดยจีนจะมีส่วนแบ่งในตลาดรถ EV ถึง 90%
นายอับราฮัมกล่าวอีกว่า แม้รถ EV จะเข้ามาทดแทนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็พบว่ายอดขายได้รับผลกระทบมาตลอดและอยู่ในช่วงขาลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาและอุปสรรคด้านห่วงโซ่อุปทาน โดยคาดการณ์ว่าในปี 2569 ยอดขายรถยนต์สันดาปจะหดตัวลงสูงสุดถึง 39% จากยอดรวมในตลาดอาเซียนซึ่งทำได้สูงสุดในปี 2560 ที่ 83 ล้านคัน
ขณะที่ตลาดรถ EV ยังได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มของราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง ซึ่งปัจจุบันราคาแบตเตอรี่ ลิเทียมต่อกิโลวัตต์อยู่ที่ 124 ดอลลาร์สหรัฐประเมินว่าในปี 2569 จะอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐและปี 2573 จะอยู่ที่ 77 ดอลลาร์สหรัฐ
ปี 2578 จะเหลือเพียง 62 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเชื่อว่า ราคารถ EV จะถูกลงเท่ารถที่ใช้เครื่อยนต์สันดาป ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถ EV ได้ง่ายขึ้น
ขณะที่นางสาวซีซี แทง หัวหน้าฝ่ายน้ำมันขั้นปลายและปิโตรเคมี บลูมเบิร์ก นิว เอเนอร์จี้ ไฟแนนซ์ (บีเอ็นอีเอฟ) เปิดเผยถึงโอกาสที่จะก้าวไปสู่ net zero ทุกภาคส่วนต้องร่วมแรงรวมใจเร่งขยายและดำเนินการให้เป็นวงกว้าง และเงื่อนไขดังกล่าว รถยนต์นั่งคันสุดท้ายที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปจะต้องถูกซื้อคันสุดท้ายในปี 2569 เท่านั้น