รง.บางชันขู่เรียกค่าปรับทาทา เบรกไลน์ผลิต ‘ซีนอน-ซูเปอร์เอช’หันนำเข้า

“พีเอ็นเอ กรุ๊ป” จ้องเรียกค่าเสียหายจากทาทา หลังประกาศยุติไลน์ผลิตในปท. เลิกใช้โรงงานบางชัน ย้ำสัญญาระบุจ้างผลิตปีละ 1,200 คัน ด้านทาทา ยันแผนรุกตลาดยังเหมือนเดิม ทั้งเซอร์วิสและงานขายยังอยู่ครบ โปรดักต์ใหม่เน้นซีบียูจากอินเดีย

แหล่งข่าวระดับบริหารกลุ่มพระนครยนตรการหรือพีเอ็นเอ กรุ๊ป (PNA) เปิดเผย “ประชาขาติธุกิจ” ว่ากระแสข่าวรถยนต์ทาทายุติไลน์การผลิตในเมืองไทย หันไปใช้วิธีนำเข้าแทนตามที่นายพี บาลาจี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของกลุ่มบริษัท ทาทา มอเตอร์ส ประเทศอินเดียประกาศนั้นมีสัญญาณมาระยหนึ่งแล้ว

หลังจากช่วงกลางปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทและทาทา มอเตอร์ ได้เจรจาใช้โรงงานบางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี  ประกอบรถยนต์ ทาทา ซีนอน ซึ่งได้มีการทดลองประกอบ เเต่เป็นจำนวนไม่มากนัก เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ผู้บริหารทาทา มีเเผนจะขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์ทาทาซูเปอร์เอซมินท์ที่โรงงานเเห่งนี้ ตั้งเเต่ช่วงต้นปี 2561 ที่ผ่านมา แต่ปรากฎว่าขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการเเต่อย่างใด

“เรามีข้อตกลงร่วมกันผลิตปีละ 1,200 คัน นี่ผ่านมาเกือบ 12 เดือนเพิ่งประกอบไปได้เพียง100-200 คันเท่านั้น ยิ่งช่วงหลังผลิตน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ช่วงย้ายจากโรงงานธนบุรีฯ มาอยู่โรงงานบางชัน ทาทาประกาศว่าใช้เงินกว่า 500 ล้านบาท”

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า  หากทาทา ตัดสินใจไม่ประกอบรถยนต์ที่โรงงานบางชัน และในประเทศไทยเเล้ว ทาทาต้องรับผิดชอบ ค่าขนย้ายอุปกรณ์ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามหาศาล รวมทั้งจะต้องมีการจ่ายค่าเช่าพื้นที่ของโรงงานให้กับทางพีเอ็นเอ กรุ๊ป ด้วยซึ่งรายละเอียดคงต้องไปว่ากันอีกที

สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์บางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี ปัจจุบันผลิตรถยนต์ 2 ยี่ห้อ คือ ทาทาจากอินเดีย และโฟตอนจากจีน

แหล่งข่าวจาก บริษัท ทาทา มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ”ว่าการดำเนินธุรกิจ ของ ทาทา ในประเทศไทย ยังเหมือนเดิมทุกอย่างโดยในปี ที่ผ่านมาทาทา มียอดขายประมาณ 1,200 คัน  ส่วนขณะนี้การดำเนินงานทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนงานของบริษัทปัจจุบันยังคงมีโชว์รูมและศูนย์บริการ 39 แห่งทั่วประเทศ

สำหรับ ทาทา เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งเเต่ปี พ.ศ 2551 โดย “ดิ อิโคโนมิกส์ ไทม์ส อินเดีย”  รายงานตัวเลขขาดทุนในไทยปีที่แล้ว ราว 1,700 ล้านรูปี หรือคิดเป็นราว 800 ล้านบาทไทย แต่อย่างไรก็ตามทาทาจะยังคงทำตลาดรถบรรทุกขนาดเล็กในไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป โดยใช้วิธีส่งออกจากอินเดียแทน พร้อมยืนยันว่าตลาดไทยยังมีความสำคัญต่อบริษัทอยู่มาก เพียงแต่การยุติการผลิตนั้นจำเป็นต้องทำเพื่อเอาตัวรอด