ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดัน “ไทยซัมมิท” ทะลุเป้าแสนล้าน

“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” จัดเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง มากความสามารถรอบด้าน ทั้งชั้นเชิงการบริหารธุรกิจและกีฬาทุกประเภท ยิ่งถ้าเป็นแนวเอ็กซ์ตรีม หาตัวจับยากทีเดียว

“ธนาธร” เป็นลูกชายคนโตของ “สมพร-พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ”

สองผู้ก่อตั้งอาณาจักร “ไทยซัมมิท” โดยลงหลักปักฐานมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ ถึงวันนี้อาณาจักรไทยซัมมิทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของเมืองไทย ภายใต้การนำทัพของรองประธานไทยซัมมิท กรุ๊ป คนนี้ กำลังก้าวกระโดดไปอย่างมั่นคงโดยมีเป้าหมายรายได้แสนล้านภายในระยะเวลาอันใกล้เป็นเดิมพัน

แข็งแรงสุด ๆ ในอุตสาหกรรม

อุตฯรถยนต์ได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายด้าน แต่เราก็มีแนวทางการทำธุรกิจให้มีกำไรมาอย่างต่อเนื่อง คิดว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับไทยซัมมิทในแง่ของยอดขายและผลประกอบการ เป็นสถิติใหม่ของบริษัท โดยคาดว่าน่าจะทำได้ถึง 79,800 ล้านบาท

หรือประมาณ 80,000 ล้านบาท ส่วนผลกำไรน่าจะถึง 5,890 ล้านบาท หรือเกือบ 6,000 ล้านบาท จริง ๆยอดขายที่เป็นสถิติใหม่ สิ่งน่าภูมิใจ คือ อัตรากำไรดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันเรื่องประสิทธิภาพการผลิต

การเพิ่มผลผลิตภายในองค์กร ทำให้คุณภาพและประสิทธิผลของไทยซัมมิทดีขึ้นมาก และเรียกว่ากำไรสูงขึ้น ก่อนหักภาษีทำได้สูงกว่า 8% แข็งแรงมากเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมยานยนต์ ปีนี้เป็นปีที่น่าภูมิใจกับผลประกอบการ และฉลองปีที่ 40 ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ปั้นยอดขาย 5 ล้านบาท/หัว/ปี

ไทยซัมมิทมีการเพิ่มประสิทธิภาพในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน ลดของเสีย ลดพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร อุตฯชิ้นส่วนตอนนี้เรื่อง “ราคา” ถูกกดดันจากประเทศ

ที่กำลังพัฒนา ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย ส่วนด้าน “นวัตกรรม” หรือ “ประสิทธิภาพการผลิต” ก็ถูกกดดันโดยประเทศผู้พัฒนาแล้ว ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป

ทำให้ต้องค้นหาตัวเอง ไทยซัมมิทมีการวัดประสิทธิภาพการผลิตหลากหลายวิธี เช่น กำไรต่อหัว, จำนวนชิ้นต่อหัว ได้เท่าไร ต่อปีได้เท่าไร แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือ “ยอดขายต่อหัว” ว่าแต่ละปียอดขายต่อหัวเป็นเท่าไร ก่อนหน้านี้ไทยซัมมิทมียอดขายต่อหัวราว ๆ 2 ล้านกว่าบาท มาในวันนี้มีอยู่ที่ 3.6 ล้านกว่าบาทต่อหัวต่อปี และภายใน 5 ปี

จากนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 5 ล้านบาทต่อหัวต่อปี ซึ่งเปรียบเทียบกับบริษัทชั้นนำของโลก จะเห็นว่ายอดขายต่อหัวต่อปีของเขาอยู่สูงถึง 11 ล้านบาทต่อหัวต่อปี ดังนั้นโรดแมป 5 ปีของเราจนถึงปี 2564 จะทำยอดขายต่อหัวต่อปีสู่ 5 ล้านบาทหรือโต 7.6-7.8% เพื่อเดินไปสู่เป้าหมาย

ดันแรงงานไทยสู่สากล

หากดูค่าแรงขั้นต่ำในญี่ปุ่นที่ทำงานกับเครื่องจักรในโรงงาน 200,000 เยนต่อเดือน หรือ 60,000 บาท ของกลุ่มไทยซัมมิทอยู่ที่ 20,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะน้อยกว่าประมาณ 3 เท่า พนักงานไทยซัมมิททำยอดขายต่อหัวต่อปี 3.6 ล้าน ญี่ปุ่นทำ 11 ล้านต่อหัวต่อปี สูงกว่าประมาณ 3 เท่า ดังนั้นมันสะท้อนว่า หากต้องการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มูลค่าเพิ่มที่จะ

ต้องสร้างให้ได้กับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต้องมากกว่านี้อีก 3 เท่า ต้องทำอย่างไร ไทยซัมมิทอยากเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ทำให้ประเทศไทยหลุดจาก “กับดัก” ประเทศที่มีรายได้ปานกลางให้เป็นประเทศที่มีรายได้ค่อนข้างสูง สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ “พัฒนากระบวนการผลิต” ไทยซัมมิทจะแนะนำให้พนักงานเลิกทำกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม กิจกรรมที่ไม่ได้เกิดจากความต้องการของลูกค้า สิ่งใดทำแล้ว ตอบไม่ได้ว่าลูกค้าได้ประโยชน์อะไรให้เลิกทำ เปลี่ยนกระบวนการภายในองค์การให้สั้นลง ง่ายขึ้น และเปิดโอกาสให้พนักงานแสดงพลังความคิดสร้างสรรค์ ดึงศักยภาพของพนักงานออกมาให้ได้ ไทยซัมมิททำมา 2-3 ปีในช่วงอุตสาหกรรมขาลง และวันนี้ดอกผลค่อย ๆ งอกออกมาทำให้ยอดขายต่อหัวต่อปีของเราเพิ่มขึ้น

รุกหนักตลาดต่างประเทศ

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ คิดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 8-9 แสนคัน อาจมากสุดถึง 9.5 แสนคัน และเชื่อว่าไม่มีทางกลับไปเหมือนปี 2555 ส่วนการลงทุนช่วงนี้ยังไม่มีความจำเป็นเพราะได้เตรียมไว้สำหรับการผลิตที่ระดับ 1.2 ล้านคันแล้ว สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ โฟกัสไปที่ทำอย่างไรจะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อรองรับเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าจะโตขึ้นอีก 3-5% ส่วนตลาดต่างประเทศซึ่งมีการลงทุนใน 6 ประเทศ คือ อินเดีย จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม ญี่ปุ่น อเมริกา ตอนนี้ผลประกอบการในต่างประเทศถือว่าค่อนข้างดี ยกเว้นในจีนที่ขาดทุน

ผลิตตัวถังน้ำหนักเบาให้เทสล่า

เดิมไทยซัมมิทส่งออกชุดสายไฟจากโรงงานชลบุรีไปอเมริกา ปีละ 30-40 ล้านบาท จากนั้นเทสล่าเห็นศักยภาพในการทำ “ตัวถัง” รถยนต์ด้วยเทคโนโลยีที่มีน้ำหนักเบา ซึ่งเป็นที่ต้องการของรถประเภทนี้ และเขาตัดสินใจใช้เทคโนโลยีของไทยซัมมิท ในรถรุ่น “โมเดล 3” ด้วยกำลังผลิต 5 แสนคันต่อปี โดยใช้ฐานผลิตจากโรงงานไทยซัมมิทในรัฐมิชิแกน และเคนทักกี และในอนาคตกำลังจะเข้าไปลงทุนในตลาดแอฟริกาใต้ในปี 2561 ในฐานะโกลบอลซัพพลายเออร์

จับเทรนด์อุตฯรถยนต์

วันนี้มองอยู่ 3 เรื่อง คือ รถยนต์ไฟฟ้า, ระบบโมบิลิตี้ คาร์ออนดีมานด์ หรือการใช้รถเมื่อต้องการใช้โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ และระบบอัตโนมัติ และนี้คือแนวคิดหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์

ในอนาคต ซึ่งไทยซัมมิทพร้อมจะตอบสนองตรงนั้น คือทำให้รถมีน้ำหนักเบาขึ้น ซึ่งได้มีการลงทุนมหาศาลกับศูนย์ทดสอบ 3-4 แห่ง มูลค่า 300-400 ล้าน เพื่อพัฒนาวัตถุดิบกระบวนการผลิต และการออกแบบใหม่ ๆ ที่สามารถทำให้น้ำหนักเบาขึ้น นอกจากนี้ไทยซัมมิทยังพยายามมีเทคโนโลยีไว้เยอะ ๆ เพื่อเสนอให้กับลูกค้า ไม่ใช่พึ่งพิงกับเทคโนโลยีเดียว

เดินหน้าสู่เป้าหมายแสนล้าน

บทสรุปของไทยซัมมิท วันนี้รองประธานหนุ่มย้ำว่า ประเทศไทย อุตฯรถยนต์ยังเติบโตน้อยมาก โดยหลักไทยซัมมิทจำเป็นต้องไปเติบโตในต่างประเทศ ซึ่งยังมีส่วนแบ่งไม่เยอะแค่ 3-5% เท่านั้น ยังเหลือให้เก็บเกี่ยวอีกกว่า 90% ขณะที่ประเทศไทยก็จะรักษาส่วนแบ่งตลาดและการเติบโตในระดับ 3-5% ไว้ และนี่คือคำตอบของทิศทางการขับเคลื่อนอาณาจักรไทยซัมมิทเพื่อไปสู่รายได้ 1.1 แสนล้านบาทในปี 2564