AAS รื้อระบบโลจิสติกส์ คลายปม…ลูกค้ารอรถนาน

สัมภาษณ์

ปัญหาของลูกค้าปอร์เช่ เอเอเอส ต้องรอรถนาน จะค่อย ๆ จางหายไป เมื่อเอเอเอสปรับกลยุทธ์และกลไกของระบบ “โลจิสติกส์” ขนส่งรถยนต์จากบริษัทแม่ ช่วยขจัดปัญหาลูกค้าชาวไทยต้องรอรับรถนาน…ได้ดียิ่งขึ้น

วันนี้ผู้บริหารไฟแรง “ธนบดี กุลทล” ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ปอร์เช่ ประเทศไทย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด เผยถึงกลยุทธ์ที่ทำให้ปอร์เช่ เอเอเอส สามารถเสิร์ฟรถยนต์ให้กับลูกค้าได้เร็วขึ้น

รื้อระบบโลจิสติกส์

ปีที่ผ่านมา ปอร์เช่ เอเอเอสได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในเรื่องของระบบการขนส่งรถยนต์ปอร์เช่ จากเดิมที่เราใช้วิธีการนำรถยนต์ใส่ตู้คอนเทนเนอร์ 1 ตู้ต่อรถยนต์ 1 คันมาโดยตลอด แต่หลังจากที่ผมเข้ามาแล้วได้ดูระบบตรงนี้ใหม่

ตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เราได้ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการส่งรถยนต์จากโรงงานที่เยอรมนีใหม่ ด้วย roller คือการนำรถยนต์ใส่เข้ามาในเรือ โดยไม่ใส่ในตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้ได้จำนวนรถต่อเที่ยวเยอะขึ้น และแก้ปัญหาเรื่องโลจิสติกส์ได้ดีทีเดียว จะเห็นว่าตลอดช่วงที่ผ่านมาจะมีข่าวเรื่องของปัญหาขาดแคลนคอนเทนเนอร์, ค่าขนส่งทางเรือมีต้นทุนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก อย่างในปี 2563 ที่ผ่านมา เอเอเอสเราต้องเผชิญปัญหารับรถยนต์ค่อนข้างล่าช้า เนื่องจากไม่สามารถจองตู้คอนเทนเนอร์, จองพื้นที่บนเรือไม่ได้

แต่เมื่อเราเปลี่ยนระบบเป็น roller ระบบการขนส่งจากยุโรปมาไทยง่ายขึ้น ซึ่งเหตุผลสำคัญคือ จำนวนรถที่ส่งออกจากเอเชียไปยุโรปนั้น มีจำนวนมากกว่ารถยนต์ยุโรปที่จะส่งกลับเข้ามา

นั่นหมายความว่าเรือที่ตีกลับมานั้นจะมีพื้นที่ค่อนข้างว่าง จะเห็นได้ว่า ระบบ roller ทำให้เราง่ายขึ้น รถมาถึงประเทศไทยได้มากและง่ายขึ้นด้วย

เสิร์ฟรถให้ “ลูกค้า” ได้เร็วขึ้น

เพราะสิ่งสำคัญคือ ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ปอร์เช่นั้น เขาต้องการซื้อรถในฝัน หน้าที่ของเอเอเอส ปอร์เช่เองเราต้องพยายามเสิร์ฟตรงนี้ให้ได้

จากเดิมลูกค้าต้องรอรถนาน 6-8 เดือน แต่มาถึงวันนี้ เราสามารถลดระยะเวลาที่ลูกค้าต้องรอรถนานได้ถึง 3-4 เดือนเท่านั้น

ซึ่งรถบางคันถ้าเรามีโควตาอยู่ เราก็สามารถผลิตได้เร็ว ลงเรือ บางชิปเมนต์ใช้เวลา 30 วันรถก็สามารถมาถึงประเทศไทยได้แล้ว แต่หากเฉลี่ยแล้วก็ราว 45 วัน

จากก่อนหน้านี้ปอร์เช่ เอเอเอส ไม่เคยส่งมอบรถได้เกิน 100 คัน ภายในระยะเวลา 1 เดือน แต่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่สามารถส่งมอบรถได้เกิน 200 คันภายในระยะเวลา 1 เดือน

มั่นใจปีนี้ขายทะลุ 1,300 คัน

ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา เรามียอดขายไปแล้วกว่า 1,200 คัน ส่วนทั้งปีคาดว่าจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 1,300 คัน แบ่งเป็นคาเยนน์ 55%, ไทคานน์ 25%, พานาเมร่า 10% และรุ่นอื่น ๆ 10%

ส่วนปีหน้าตั้งเป้าหมายการเติบโต 10% ส่วนรุ่นมาคันน์ที่เตรียมเปิดตัววันที่ 5 พ.ย.นี้จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเท่าตัว

แน่นอนปีนี้ถือเป็นปีที่ “ดีมานด์” สูงกว่า “ซัพพลาย” ค่อนข้างเยอะกว่าปกติ เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ทั่วโลก แต่สำหรับปอร์เช่ เอจี ได้มีการปรับวิธีการ ปรับกลไกการผลิตและส่งรถปอร์เช่ให้กับลูกค้า สามารถเดินได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะบางยี่ห้อหยุดส่งรถเลยปอร์เช่เลือกใช้วิธี เช่น กุญแจรถ ปกติเราจะได้รับ 2 ดอก แต่เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าว เราจึงเลือกส่งกุญแจให้กับลูกค้าก่อน 1 ดอก ส่วนดอกที่ 2 จะส่งตามมา เมื่อปัญหาดังกล่าวเริ่มคลี่คลาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถได้ครอบครองรถยนต์ในฝันของตัวเองก่อน

วันนี้เราจะพยายามทำให้ดีที่สุด ปัจจุบันเรามี order bank เพื่อเตรียมรองรับให้กับลูกค้า

ห่วงปัญหาค่าเงินบาทอ่อน

สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนทำให้ exchange rate เปลี่ยน จากเดิม 35 บาทกว่า วันนี้ขยับขึ้นไปถึง 39.5 บาท แน่นอนว่า ส่งผลกระทบต่อราคาขายรถยนต์ของเรา แม้ว่าจะมีการประกันราคาค่าเงินไว้บ้าง ตอนนี้รถบางรุ่นปรับขึ้นมาประมาณ 100,000 บาท อย่างคาเยนน์ คูเป้ จากเดิม 6.5 ล้านบาท ปรับขึ้นไป 6.6 ล้านบาท แต่สำหรับบางรุ่นก็ไม่ได้ปรับขึ้น เราพยายามให้ผลกระทบเกิดกับลูกค้าน้อยที่สุด

เตรียมแผนรับเทรนด์อีวี

อย่างที่ทุกคนทราบว่ากระแสของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังมา เอเอเอสเราได้มีการลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมกับตรงนี้มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาบุคลากร อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ

อย่างปีนี้เรากำลังทำแบตเตอรี่รูม, การทำแบตเตอรี่รีแพร์ และลงทุนติดตั้งควิกชาร์จ ที่รองรับเราว่าจะเป็นห้องแบตเตอรี่รูม, ติดตั้งควิกชาร์จที่มีกำลังไฟถึง 350 วัตต์ มูลค่าไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทรวมทั้งแบตเตอรี่รีแพร์

ส่วนแผนการขยายโชว์รูม ในปีนี้ยังไม่มี แต่ภายใน 2-3 ปี หรือเร็วกว่านั้น เพราะอยากให้ลูกค้าเข้าถึงและดูแลบริการหลังการขายให้ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม


สุดท้าย ธนบดียังฝากบอกว่า หากทุกอย่างเป็นไปได้ตามแผนงานในช่วงปลายปีนี้ที่งานมอเตอร์เอ็กซ์โป เอเอเอส ปอร์เช่ จะมีการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาเสริมทัพอีกอย่างน้อย 1 รุ่น ตั้งเป้ายอดจองจากในงานไว้ไม่น้อยกว่า 200 คัน ซึ่งจะมีปอร์เช่ มาคันน์ เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้คนไทยได้เข้าถึงปอร์เช่ได้มากขึ้น