คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
วันก่อนในไลน์กลุ่มหมู่บ้าน เริ่มมีคนถามถึงเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554
หมู่บ้านของผมเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ อายุประมาณ 20 กว่าปี
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- KNLA ถอนกำลังจากเมียวดี ไปโจมตีทหารเมียนมากองพล 55 ผู้ลี้ภัยข้ามฝั่งกลับแล้ว
ผ่านวิกฤตน้ำท่วมใหญ่มาอย่างโชกโชน
สมาชิกคนนี้เพิ่งซื้อบ้านเก่ามาปรับปรุงใหม่ อยู่ในหมู่บ้านได้แค่ 3-4 ปี
เขานึกสภาพไม่ออกว่า น้ำท่วมถึงระดับไหน
สมาชิกเก่าผู้มีประสบการณ์ตรงก็ส่งรูปเก่าลงในกลุ่มและเล่าเรื่องให้ฟัง
มีบางคนเล่าอย่างสนุกสนาน
แต่บางคนเริ่มรู้สึกวิตกกังวล
ครับ ความทรงจำในอดีตเริ่มหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ผมเชื่อว่าคงไม่ใช่เฉพาะในหมู่บ้านของผมเท่านั้น คนกรุงส่วนใหญ่ก็คงวิตกกังวลเหมือนกัน
เพียงแต่มากหรือน้อยแตกต่างกัน
“จิตวิทยา” นี้เองที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ตอนนี้
ทำเลที่น้ำท่วม คนตัดสินใจซื้อช้าลง
คอนโดมิเนียมในเมืองแนวรถไฟฟ้าขายดีขึ้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดามากเลยครับ
จำได้ไหมครับว่า ตอนที่เกิดโควิดใหม่ ๆ บ้านจัดสรรขายดีมาก โดยเฉพาะบ้านราคาแพง
ส่วนหนึ่ง เพราะคนรวยส่วนใหญ่ไม่สะเทือนกับสถานการณ์นี้
รวยก็ยังรวยเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือรวยขึ้น
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายในฝันของสินค้าต่าง ๆ
เพราะสะเทือนกับสถานการณ์เศรษฐกิจน้อยมาก
แต่เหตุผลหนึ่งที่ตัดสินใจซื้อบ้านเดี่ยวราคาแพง ๆ เพราะ “โควิด” ทำให้การใช้พื้นที่ในบ้านมากขึ้น
จากเดิมทุกคนออกไปทำงาน หรือไปเรียนหนังสือ
เย็น ๆ ค่ำ ๆ จึงกลับมาที่บ้านหรือคอนโดมิเนียม
แต่ช่วงโควิด คนทำงานต้อง work from home นักเรียน-นักศึกษาก็ต้องเรียนออนไลน์
อยู่บ้านพร้อมกันทั้งวัน
บ้านที่เคยกว้างจึงแคบลง
ใครที่อยู่คอนโดมิเนียมยิ่งแล้วใหญ่ หันไปก็เจอกันแล้ว
คนรวยเป็นโรคขี้รำคาญ เมื่อมีเงินอยู่แล้วก็ตัดสินใจง่าย
ซื้อบ้านใหม่ที่มีพื้นที่กว้าง ๆ ดีกว่า
จะได้ไม่อึดอัด
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนที่กำลังตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นหลังที่ 1 หรือหลังที่ 2
จากเดิมที่คิดจะซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน
เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าพื้นที่คอนโดฯเล็กเกินไป สำหรับการใช้ชีวิตช่วงโควิด ซึ่งไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหน และจะมีโรคใหม่ระบาดอีกหรือไม่
การทำงานแบบ WFH อาจจะกลับมาอีกได้
กลุ่มเป้าหมายนี้จึงเลือกทาวน์เฮาส์ หรือบ้านเดี่ยว แทนคอนโดมิเนียม เพราะมีพื้นที่กว้างขวาง
แต่พอเจอเรื่องน้ำท่วม กทม.ในวันนี้ แม้ยังไม่หนักหนาสาหัสเหมือนตอนปี 2554
แต่ผลทางจิตวิทยาทำให้คนซื้อบ้านเริ่มคิดใหม่
ทำเลที่น้ำท่วมช่วงนี้ ถ้าเลือกได้ก็คงไม่เลือก
การจราจรในช่วงน้ำท่วมที่นรกแตกมากสำหรับคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทาง อาจมีผลทางจิตวิทยาที่คนเริ่มมองหาคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้า
เพราะตอนน้ำท่วม ชีวิตของคนที่ใช้รถไฟฟ้ากับใช้ชีวิตบนถนนนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
บทเรียนจากปี 2554 ชัดเจนมาก
นอกจากนั้นยังมีคนที่จินตนาการไกลกว่านั้น
คนจำนวนไม่น้อยเริ่มคิดถึงเรื่องโลกร้อน น้ำทะเลสูงจนเริ่มท่วม กทม.
เขาคิดถึงการซื้อที่ดินบนพื้นที่สูง ๆ ในต่างจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลเมืองกรุง
อย่างเช่น เขาใหญ่ ฯลฯ
คนที่ผ่านวิกฤตน้ำท่วมปี 2554 คงจำความรู้สึกนี้ได้
หรือบางคนเริ่มคิดถึงการใช้ชีวิตในต่างจังหวัด
“นรก” บนท้องถนนเพียงแค่ไม่กี่วันที่น้ำท่วม กทม. มีผลทางจิตวิทยามากเลยนะครับ
และคงไม่ใช่เพียงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว
ธุรกิจรถยนต์ก็น่าจะมีผลเช่นกัน
คนที่ตัดสินใจซื้อรถเก๋งน่าจะมีลูกลังเลบ้าง
เพราะตอนน้ำท่วมปี 2554 ทำให้ชนชั้นทางสังคมเปลี่ยนไป
คนนั่งรถเก๋งแพง ๆ กลายเป็นชนชั้นล่าง
แต่คนที่นั่งรถกระบะ หรือรถตู้ กลายเป็นชนชั้นสูง
ระดับชนชั้นในปีนั้น เขาเปลี่ยนวิธีการวัดใหม่
ไม่ได้วัดจากฐานะ หรือเงินในแบงก์
แต่วัดจากระดับความสูงจากถนนถึงใต้ท้องรถครับ
รถใครสูงกว่า คนนั้น คือ ชนชั้นสูง