
ศาลรัฐธรรมนูญยุติการไต่สวน มีพยานหลักฐานเพียงพอ นัดอ่านคำวินิจฉัย 8 ปี ประยุทธ์ 30 กันยายน
วันที่ 14 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ ซึ่งมีการพิจารณาเอกสารบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 501 วันที่ 11 กันยายน 2561 ซึ่งมีวาระการประชุมรับรองบันทึกการประชุม ครั้งที่ 500 วันที่ 7 ก.ย. 2561 ที่คณะอนุกรรมการพิจารณาตรวจบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมตรวจทานแล้ว ภายหลังสภาผู้แทนราษฎร ส่งเอกสารการประชุมดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการพิจารณาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามที่ฝ่ายค้านยื่นให้ตีความ
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 มีนาคม ย้อนหลัง 10 ปี
- เปิดรายชื่อ “กองทุนไทย” ที่มีการลงทุนใน SVB
- ส่องที่ดินประมูล 410 ไร่ ม.เอเชียน ถนนใหม่ตัดผ่าน เพิ่มศักยภาพผังเมืองสีส้ม
ตุลาการฯ นัดลงมติ-แถลงด้วยวาจา 30 ก.ย.นี้
ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่เอกสารข่าว ระบุผลการพิจารณาว่า ศาลรัฐธรรมนูญ อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้ว เห็นว่าคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ ลงมติ และอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟัง ในวันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 เวลา 15.00 น.
เส้นทางคดี วาระ 8 ปี นายกฯ ประยุทธ์
สำหรับเส้นทางคดีการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มมีการชูประเด็นดังนี้ตั้งแต่รัฐบาลเจอรุกไล่อย่างหนักจากม็อบราษฎร และมีการถกเถียงถึงการดำรงตำแหน่งวาระ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะครบ 8 ปี ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 หรือจะครบวาระในปีไหนกันแน่
แต่นักการเมืองฝ่ายค้านนำโดยพรรคเพื่อไทย เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา เนื่องจากอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกได้
ตุลาคม 2564 ฝ่ายกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร สรุปประเด็นข้อกฎหมายส่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยเห็นว่า การนับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 158 วรรค 4 ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2562 ที่เป็นวันโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นต้นไป ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์สามารถเป็นนายกฯ ได้ถึงปี 2570
โดยข้อสรุปดังกล่าว ระบุตอนหนึ่งว่า การกำหนดเงื่อนไขให้นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งรวมแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้นั้น เป็นเงื่อนไขการจำกัดสิทธิบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการบัญญัติกฎหมายในทางเป็นโทษ จะนำมาบังคับใช้ย้อนหลังในทางที่เป็นโทษไม่ได้ การกำหนดเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญให้ผลย้อนหลังใช้บังคับกับการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ ย่อมขัดหลักกฎหมาย”
ส่วนประเด็นรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 264 ที่แม้จะกำหนดให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้นั้น การปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ตามมาตรา 264 เป็นการปฏิบัติหน้าที่แทน ครม. ตามบทหลักของรัฐธรรมนูญปี 2560 เพียงชั่วเวลาหนึ่ง และต้องพ้นจากหน้าที่ภายหลังจากที่ ครม. ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เข้าปฏิบัติหน้าที่
“หากรัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้นับระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ก่อนหน้านี้ จะต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนว่า ให้นับระยะเวลาดังกล่าวรวมเป็นระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ด้วย ดังนั้น ระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ตามมาตรา 264 นับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2560 ที่รัฐธรรมนูญปี 2560 บังคับใช้ จนถึงวันที่ 9 มิ.ย. 2562 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 จึงไม่ถือเป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 158”
ต่อมา 28 ธันวาคม 2564 ข้อสรุปดังกล่าวได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ จนกระทั่งเป็นประเด็นนายกฯ 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อีกในเดือนมกราคม 2565
เมื่อเข้าสู่เดือนสิงหาคม 2565 ทั้งได้มีหลายฝ่ายยื่นให้องค์กรต่าง ๆ ตรวจสอบวาระ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์
เริ่มจากวันที่ 5 สิงหาคม 2565 “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้ทั้งสองหน่วยงาน เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ที่สุดแล้วผู้ตรวจการแผนดินตีตกคำร้อง เนื่องจากเป็นอำนาจขององค์กรอื่น
17 สิงหาคม 2565 171 ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน ร่วมยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ขอส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยนายชวนได้ส่งต่อคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 22 สิงหาคม เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งหนังสือคำร้องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย วาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว
24 สิงหาคม 2565 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 รับคำร้อง พร้อมทั้งมีมติ 5 ต่อ 4 แบ่งเป็น เสียงข้างมาก 5 คน เห็นชอบให้ พล.อ.ประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วย นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ นายจิรนิติ หะวานนท์ นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายนภดล เทพพิทักษ์ ส่วนฝ่ายเสียงข้างน้อย 4 คน ที่เห็นว่าไม่ควรให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วย นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์
1 กันยายน 2565 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ส่งคำชี้แจง 23 หน้าไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยมี พล.ต.วิระ โรจนมาศ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เป็นหัวหน้าทีมสู้คดี
8 กันยายน 2565 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดส่งสำเนาบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ครั้งที่ 501 วันที่ 11 กันยายน 2561 มีวาระการประชุมรับรองบันทึกการประชุมครั้งที่ 500 วันที่ 7 กันยายน 2561 ซึ่งเป็นการประชุมที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธาน กรธ. ระบุว่า การนับวันดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องรวมการดำรงตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ด้วย
โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 13 กันยายน 2565 และกำหนดนัดพิจารณาคดีครั้งต่อไปวันที่ 14 ก.ย. 2565
14 กันยายน 2565 ศาลรัฐธรรมนูญ อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ ลงมติ และอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟัง ในวันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 เวลา 15.00 น.