ปม 8 ปีประยุทธ์ที่จะเดินทางมาสู่คำตัดสินชี้ชะตาในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ย.) เป็นที่จับตามองจากสังคมไทย สังคมโลก เพื่อติดตามศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครบ 8 ปีหรือไม่
14 กันยายน 2565 ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาเอกสารเพิ่มเติม วาระการดำรงตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดหรือไม่
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2565
เหลือไว้แต่การปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตำแหน่งเดียว มาแล้ว 20 วัน
แม้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะยังไม่สิ้นสุดลง ตามคำร้องของพรรคฝ่ายค้าน 171 คน แต่ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย
แต่กระนั้นแผนการต่าง ๆ ในการบริหารราชการแผ่นดิน จัดโครงสร้างอำนาจ ถูกกะการไว้ล่วงหน้า ราวกับรู้ชะตาที่จะถูกชี้ด้วยองค์อำนาจแห่งองค์กรอิสระ
อย่างน้อยโผโยกย้ายนายทหาร 765 นาย ถูกจัดวางไว้อย่างถูกที่-ถูกเวลา ทั้ง 4 เหล่าทัพ รวมกองบัญชาการกองทัพไทย และกระทรวงกลาโหม ล็อกเก้าอี้อนาคตให้แม่ทัพภาคที่ 1 ไว้ล่วงหน้า
ส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ไม่พลิกโผ ทั้งระดับผู้บัญชาการ และนายพลทั้ง 255 นาย
ส่วนข้าราชการระดับสูง ทั้งปลัดกระทรวงเศรษฐกิจ กระทรวงความมั่นคง ลงไปถึงระดับอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เป็นยุทธศาสตร์รับการเลือกตั้งถูกทยอยจัดวาง ระหว่างที่มีรักษาการนายกรัฐมนตรี
งบประมาณปกติ-งบฯกลางฉุกเฉิน ตามร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2566 ถูกอนุมัติผ่าน พร้อมใช้เงิน 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป
ความเห็นนักกฎหมายพญาครุฑ
14 กันยายน 2565 คือวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาคดี ตามเอกสารของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ที่เผยแพร่หลังประชุมนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ระบุว่า “เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา มีคำสั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดส่งสำเนาบันทึกการประชุม และรายงานการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ครั้งที่ 501 วันที่ 11 ก.ย. 2561 มีวาระการประชุมรับรองบันทึกการประชุม ครั้งที่ 500 วันที่ 7 ก.ย. 2561 โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 13 ก.ย. 2565 และกำหนดนัดพิจารณาคดีครั้งต่อไป วันที่ 14 ก.ย. 2565”
20 วันหลังศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุติการเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว มีความเห็นของนักกฎหมาย ทั้งในฐานะพยานบุคคลและพยานเอกสาร ที่ทยอยหล่นพ้นจากแฟ้มลับ
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ พญาครุฑทางกฎหมาย ตามฉายาที่ตั้งโดยที่ นายวิษณุ เครืองาม ส่งปากคำไว้ว่า “คณะรัฐมนตรีรวมทั้งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่เฉพาะในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ใช้บังคับ คือวันที่ 6 เมษายน 2560”
“และโดยผลดังกล่าว บทบัญญัติทั้งปวงของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รวมทั้งบทเฉพาะกาลที่ผ่อนปรนให้ จึงมีผลต่อคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 อันเป็นวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับเป็นต้นไป และระยะเวลาตามมาตรา 158 วรรคสี่ จึงเริ่มนับตั้งแต่บัดนั้น คือวันที่ 6 เมษายน 2560 เป็นต้นไป”
ส่วนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่นายมีชัยเคยให้ฉายาไว้ว่า เป็นมือกฎหมายระดับพยัคฆ์ ให้ความเห็นการนับวาระนายกรัฐมนตรีไว้ว่า ไม่ใช่เริ่มวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ตามที่ฝ่ายค้านร้อง แต่ถ้าศาลบอกว่านับวาระการดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ปี 2557 พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ต้องกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ก็รักษาการไป ขึ้นอยู่กับประธานรัฐสภาจะเรียกประชุมเพื่อเลือกนายกฯ และจนกว่านายกฯ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าถวายสัตย์ฯ ถึงจะพ้นไป
ส่วนคำชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ 20 กว่าหน้า ก็หลุดออกมา แทงทะลุทะลวงคำร้องของฝ่ายค้าน ระบุว่า “และความเป็นนายกรัฐมนตรีของข้าพเจ้าที่เริ่มต้นใหม่ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 264 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 นั้น ขาดตอนจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แล้ว”
ไม่นับรวามเมควห็นทั้งปวงของเครือข่ายนักกฎหมาย ระดับกูรูฝ่ายอนุรักษนิยม ที่เห็นปใไนทิศทางเดียวกันว่า วาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ไม่สิ้นสุด ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ครบ 8 ปี ตามที่ฝ่ายค้านร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
หากไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อย่างไรก็ตาม หากศาลชี้ไปทางตรงกันข้ามกับที่นักกฎหมายฝ่ายรัฐบาลเชื่อมั่น การเมืองจะพลิกผันไปอีกทาง แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 ระบุว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตําแหน่ง อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายใต้เงื่อนไข
ในกรณีที่ 1.ความเป็นนายกฯ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 อาทิ ตาย, ลาออก, สภาลงมติไม่ไว้วางใจ, ใช้สถานะแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ, ถือหุ้นในเอกชนเกิน 5%
2.สภาครบวาระ หรือยุบสภา 3.ครม.ลาออกทั้งคณะ 4.ให้ความเป็นรัฐมนตรี ของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกําหนดเวลาตามมาตรา 158 วรรคสี่ด้วย (ดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี)
ทั้ง 4 เงื่อนไข รัฐธรรมนูญบัญญัติให้นายกรัฐมนตรี “รักษาการ” จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่
คณะรัฐบาล รักษาการ ทำอะไรได้บ้าง
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นจากตำแหน่ง จากการ “ยุบสภา หรือสภาครบวาระ 4 ปี”
ในรัฐธรรมนูญมาตรา 169 กำหนด “ข้อปฏิบัติ” สำหรับนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ไว้ดังนี้
1.ไม่อนุมัติโครงการ หรือมีผลสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่กำหนดไว้ตามงบประมาณรายจ่ายประจำปี
2.ไม่แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน ทั้งในหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ เว้นแต่ กกต.อนุมัติ
3.ไม่อนุมัติงบประมาณสำรองจ่ายฉุกเฉิน-จำเป็น เว้นแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุญาต
4.ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐ หรือบุคลากรของรัฐ กระทำอันใดที่มีผลต่อการเลือกตั้ง หรือฝ่าฝืนข้อห้าม ระเบียบของ กกต.
หากศาลชี้ “ประยุทธ์” พ้นจากเก้าอี้-ครบวาระนายกฯ 8 ปี
แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพ้นจากตำแหน่ง ตามมาตรา 158 วรรคสี่ หรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบ 8 ปีแล้ว อำนาจที่เหลือของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี มีดังนี้
1.พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่ง รักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ก็ยังมีอำนาจเต็ม เท่ากับนายกรัฐมนตรี จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ต่อ
2.มีกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในบทเฉพาะกาล มาตรา 272 ให้ ส.ว.ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย
3.ดำเนินการตามขั้นตอน เริ่มจากสภาเลือกนายกฯ ในบัญชีพรรคการเมืองที่เสนอไว้ตอนเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 คือ ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ โดยจะต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ ส.ส.ทั้งหมด ณ ตอนนี้คือ 48 คน ในการเสนอชื่อ
4.การลงคะแนนเลือกนายกฯ ต้องทำโดยขานชื่อ เปิดเผย และต้องได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ส.และ ส.ว. ตอนนี้คือ 363 คน จาก 726 คน (ส.ส. 477 คน ส.ว. 249 คน)
5.กรณีถ้าไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรี ในบัญชีของแต่ละพรรคการเมืองได้ สมาชิกทั้ง 2 สภา ส.ส.-ส.ว. รวมกันไม่น้อยกว่า “กึ่งหนึ่ง” ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ 363 คน สามารถเข้าชื่อต่อประธานรัฐสภา เลือกนายกรัฐมนตรี จากนอกบัญชีของพรรคการเมืองได้ โดยให้รัฐสภามีมติยกเว้น ไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯในบัญชีเสียก่อน
6.จากนั้นรัฐสภาจะต้องมีมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 (484 เสียง) ให้สภาเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในบัญชีพรรคการเมือง หรือนอกบัญชีพรรคการเมืองก็ได้ แล้วค่อยดำเนินการเลือกนายกรัฐมนตรี ในขั้นตอนตามปกติก่อนหน้านี้ คือการเสนอชื่อนายกฯ จะต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 และการลงคะแนนจะต้องทำโดยเปิดเผย และต้องได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง
7.กรณีที่ถ้าเสียงในรัฐสภาไม่พอ ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ให้รัฐบาลรักษาการ ทำหน้าที่ต่อไป
กระบวนการทั้งหมดนี้ จะเริ่มขึ้นทันที หากมติศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำร้องของฝ่ายค้าน ฉากทัศน์ทางการเมืองจะพลิกโฉม-เปลี่ยนแปลงทุกองคาพยพ
- ประยุทธ์ เปิดแผนเกลือจิ้มเกลือ ตีโต้ฝ่ายค้าน วาระนายกฯ 8 ปี
- วิษณุ คาดศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคดี นายกฯ 8 ปี 14 ก.ย.เป็นต้นไป
- เปิดเอกสารลับ คำแถลงสู้คดี นายกฯ 8 ปี จากทีมกฎหมายประยุทธ์
- คดีนายกฯ 8 ปี เกมประลองกำลังเครือข่ายประยุทธ์ ลุ้นสัญญาณสุดท้าย
- เกมแก้รัฐธรรมนูญ Comeback ลุ้นปิดสวิตช์ ส.ว. ล็อกนายกฯเป็น ส.ส.