เปิดเอกสารลับ คำแถลงสู้คดี นายกฯ 8 ปี จากทีมกฎหมายประยุทธ์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เปิดเอกสารลับ คำชี้แจงสู้คดีนายกฯ 8 ปี โดยทีมกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อ้างความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ นับวาระการดำรงตำแหน่งจาก รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้

วันที่ 7 กันยายน 2565 แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า ทีมกฎหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ส่งเอกสารชี้แจงมายังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเนื้อหาทั้งหมด 7 ประเด็น เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายในการคัดค้านแก้ข้อกล่าวหาเรื่องการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ซึ่งผู้ร้องเข้าใจไม่ถูกต้องในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

โดยนำเอาระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่เป็นนายกฯครั้งแรก ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มานับรวมกับการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ทั้งที่รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) สิ้นผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่ 6 เมษายน 2560

ทีมกฎหมายของนายกรัฐมนตรี ระบุในเอกสารคำชี้แจงว่า “แม้การดำรงตำแหน่งนายกฯครั้งแรก จะเริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 และเป็นนายกฯต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน แต่ไม่อาจนำระยะเวลาการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) มานับรวมกับการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้ เนื่องจากความเป็นนายกฯครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 พร้อมกับการสิ้นสุดลงของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557

ดังนั้น ความเป็นนายกฯครั้งแรก จึงขาดตอนจากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ในวันที่ 6 เมษายน 2560 ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ขณะที่การดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อ 6 เมษายน 2560 ต่อเนื่องมานั้น เป็นไปตามบทเฉพาะกาล มาตรา 264 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2560 ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายหลังเลือกตั้งการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญปี 2560”

สำหรับข้อกำหนดห้ามเป็นนายกฯเกิน 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 ทีมกฎหมายชี้แจงว่า “เป็นบทบัญญัติกฎหมายที่เป็นการจำกัดสิทธิ ดังนั้น ต้องตีความอย่างแคบและโดยเคร่งครัด จะตีความอย่างกว้าง ให้หมายความรวมถึงการเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญฉบับอื่นมิได้ ซึ่งหลักการตีความกฎหมายเรื่องการจำกัดสิทธิของบุคคลนี้ ตรงกับแนวทางความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ที่แต่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาในประเด็นการนับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ที่มีส่วนร่วมเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560

คณะผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย นายธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย นายนรชิต สิงหเสนี นายปกรณ์ นิลประพันธ์ นายประพันธ์ นัยโกวิท นายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายอัชพร จารุจินดา และนายอุดม รัฐอมฤต ตามคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ 19/2565 เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ ลงวันที่ 17 มกราคม 2565

ส่วนการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในปัจจุบันไม่ขัดกับหลักมาตรฐานสากลและเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา 158 วรรคสี่ โดยทีมกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า “ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชื่อสัตย์สุจริตและด้วยความจงรักภักดี สำนึกในหน้าที่และประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด ไม่เคยใช้อำนาจการเป็นผู้นำประเทศ หาผลประโยชน์ให้ตนเองหรือพวกพ้อง”

ดังนั้น ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นระยะเวลาเท่าใด ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ไม่เคยใช้อำนาจผู้นำประเทศหรืออำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือของวงศาคณาญาติ หรือพวกพ้อง และไม่เคยคิดช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้ที่ทำความเสียหายให้ประเทศหรือประโยชน์ของสาธารณะของประชาชน ให้กลับมามีอำนาจหรือเป็นผู้นำประเทศเพื่อใช้อำนาจ ก่อผลเสียต่อประโยชน์ของประเทศอย่างรุนแรงได้อีก

ส่วนประเด็นการหยิบยกบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ครั้งที่ 500 ลงวันที่ 7 กันยายน 2561 ทีมกฎหมายนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า มิใช่บันทึกเจตนารมณ์ของการนับระยะเวลาหรือการจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามบทบัญญัติมาตรา 158 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ 2560

อีกทั้งการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 500 ก็เป็นเพียงการประชุมเตรียมการจัดทำหนังสือ “ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ 2560” เท่านั้น ยิ่งกว่านั้นเมื่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จัดทำหนังสือแล้วเสร็จและจัดพิมพ์เผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม 2562 ก็มิได้นำเอาความเห็นหรือข้อหารือของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ กับ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ เช่นว่านั้น มาใส่รวมไว้ในคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย และมิได้ปรากฏคำอธิบายใด ๆ เกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่กำหนดห้ามเกิน 8 ปี

สำหรับกรณีการไม่เปิดเผยบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินนั้น เป็นการใช้อำนาจพิจารณาวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ที่ได้ตีความไว้ ทีมนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เป็นกฎหมายที่มีลำดับชั้นหรือศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ 2560 จึงไม่อาจนำเหตุผลและเจตนารมณ์หรือแนวทางการปฎิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ไปใช้อธิบายหรือตีความหรือใช้เป็นแนวทางบังคับใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่มีลำดับชั้นหรือศักดิ์ทางกฎหมายสูงกว่าได้

“การที่ผู้ร้องอ้างแนวทางการยึดเอาการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของข้าพเจ้าและคู่สมรสครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 และการไม่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของข้าพเจ้าและคู่สมรส ซึ่งเป็นการใช้อำนาจพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมาเป็นแนวทางปฏิบัติหรือการตีความบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเฉพาะบทบัญญัติมาตรา 158 วรรคสี่ ที่เป็นบทบัญญัติกฎหมายจำกัดสิทธิของบุคคลนั้น จึงกระทำมิได้”

ส่วนสุดท้ายของเอกสารคำชี้แจงของทีมกฎหมายนายกรัฐมนตรี ระบุไว้ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญต้องตีความและใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญในเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามหลักกฎหมาย มิใช่ตามข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปของประชาชน ที่สำคัญคือ ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาพิพากษาอรรถคดีโดยปราศจากอคติทั้งปวง หากศาลรัฐธรรมนูญนำเอาข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่โดยทั่วไปของประชาชนมาใช้ตีความกฎหมาย หรือวินิจฉัยพิพากษา ย่อมเป็นช่องทางที่จะทำให้เกิดอคติในการวินิจฉัยหรือพิจารณาพิพากษาอรรถคดีได้”

พร้อมระบุความหมายการดำรงตำแหน่งที่มีข้อจำกัดห้ามดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158 วรรคสี่ นั้น หมายถึงการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เท่านั้น มิได้หมายความรวมถึงการดำรงตำแหน่งนายกฯตามรัฐธรรมนูญฉบับอื่น หากรัฐธรรมนูญปี 2560 มีเจตนารมณ์ที่จะให้หมายรวมถึงการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญฉบับอื่นด้วยก็ย่อมต้องบัญญัติไว้โดยแจ้งชัด ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาของผู้ร้อง จึงไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 และไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม