เปิดคำพิพากษา สุเทพ พ้นผิดคดีการเมือง ทุจริตฮั้วประมูลโรงพัก

เปิดคำพิพากษาเต็มคดีสุเทพ

สุเทพ และพวกรวม 6 คน ถูกศาลพิพากษายกฟ้อง คดีร่วมกันทุจริตฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพัก มูลค่าโครงการ 6,672 ล้านบาท พ้นผิดไม่ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

วันที่ 20 กันยายน 2565 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์

เป็นจำเลยที่ 1-6 กรณีร่วมฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดแทนโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก (แฟลตตำรวจ) หรือคดีสร้างโรงพัก 396 แห่ง มูลค่า 6,672 ล้านบาท

ทั้งนี้ ศาลไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง โดยไม่ได้อนุมัติแนวทาง รูปแบบ หรือวิธีการจัดจ้าง พร้อมทั้งให้ความเห็นชอบเปลี่ยนแปลงแหล่งรายได้จากหลักทรัพย์เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดยไม่ได้เสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการจัดจ้างโครงการดังกล่าว จึงไม่ถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฎิบัติหน้าที่ให้เสียหายต่อทางราชการตำรวจและการจัดซื้อจัดจ้าง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

สำหรับ จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งรักษาการแทน ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการใช้ดุลพินิจตามระเบียบของทางราชการในการกำหนดรูปแบบและวิธีการจัดจ้าง เป็นการเสนอรูปแบบการจัดจ้างตามสายงาน ไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะให้ความเห็นชอบหรือไม่ก็ตาม จึงไม่ถือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่ให้เสียหายต่อทางราชการตำรวจและการจัดซื้อจัดจ้าง จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

Advertisment

ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการประกวดราคาฯ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสียหายกรณีเอื้อประโยชน์ ไม่ตรวจสอบราคาวัสดุก่อสร้างที่ต่ำกว่าความเป็นจริงตามที่จำเลยที่ 5 เสนอมา แต่ข้อเท็จจริงการที่จำเลยที่ 5 เสนอราคาไม่ใช่ราคาที่ต่ำจนไม่สามารถดำเนินการได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด

จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 โจทก์ฟ้องว่า สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 3 และที่ 4 และเมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีความผิดตามฟ้องจำเลยที่ 5 และที่ 6 จึงไม่มีความผิดตามฟ้องเช่นกัน

Advertisment

เปิดคำพิพากษาคดีทุจริตฮั้วประมูลโรงพัก

วันนี้เวลา 09.30 นาฬิกา ศาฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.23/2564 ระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รวม 6 คน จำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ

โดยโจทก์ฟ้องสรุปได้ว่า จำเลยที่ 2 ขออนุมัติหลักการในการดำเนินการประกวดราคาจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง และโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเลิกแนวทางในการจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง

ด้วยวิธีการจัดจ้างโดยส่วนกลาง โดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1-9) และอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการประกาศประกวดราคาจัดจ้างก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง ภายในวงเงิน 6,298,000,000 บาท ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยกองโยธาธิการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยงานจัดจ้างก่อสร้างทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียว โดยไม่ได้เสนอให้นายกรัฐมนตรีนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการจัดจ้างก่อสร้างโครงการจำเลยที่ 1 อนุมัติตามเสนอ

ซึ่งการเสนอเปลี่ยนแปลงการจัดจ้างดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อวงเงินงบประมาณตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ กระทบต่อกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ราคากลางที่กำหนดขึ้นหรืองบประมาณที่สูงขึ้นเป็นเงินจำนวน 6,399,000,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคากลางเดิมที่กำหนดไว้จำนวน 6,100,538,900 บาท การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำนวนเลยที่ 3 และที่ 4 ในฐานะประธานคณะกรรมการประกวดราคา กับกรรมการและเลขานุการมีหน้าที่ต้องตรวจสอบบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้างที่จำเลยที่ 5

โดยจำเลขที่ 6 ยื่นว่าถูกต้องครบถ้วนและราคาที่เสนอมีความเหมาะสมหรือไม่ หากไม่ถูกต้องและครบถ้วนหรือไม่เหมาะสมประการใด จะต้องสั่งให้แก้ไขหรือเจรจาต่อรองราคาต่อไปตามเอกสารการประกวดราคาจ้าง แต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 กลับร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ไม่ตรวจสอบพิจารณาแจ้งหรือนัดหมาย หรือนำเสนอคณะกรรมการประกวดราคาเพื่อพิจารณา ทั้งเป็นการมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่ 5

โดยจำเลยที่ 6 ให้ได้รับการคัดเลือกในการเสนอราคาและเป็นผู้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจำเลยที่ 5 โดยจำเลยที่ 6 มุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันเสนอราคาอย่างเป็นธรรมและเอื้อประโยชน์ในการคิดคำนวณส่วนต่างกรณีมีงานลดหรืองานเพิ่มจากการตอกเสาเข็มได้ครบจำนวนตามแบบของงานก่อสร้างทั้ง 396 หลัง อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ดังกล่าว

ขอให้ลงโทษณจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 10 และมาตรา 12 จำเลยที่ 5 และที่ 6 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 1542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาแล้ว เห็นว่าเมื่อพิจารณาพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 (1) และมาตรา 10 กับระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ข้อ 13 ซึ่งเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการอนุมัติ ประกอบบันทึกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงวันที่ 9 มกราคม 2552 ที่อ้างข้อเท็จจริงตามบันทึกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2511

เพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีขออนุมัติให้นายกรัฐมนตรีเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดประเด็นที่ประสงค์จะให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินโครงการสถานีตำรวจเพื่อประชาชน (ทดแทน) โดยเป็นโครงการผูกพันงบประมาณ 3 ปี ตั้งงบประมาณปี 2552 ถึง 2554 ซึ่งเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาและระเบียบดังกล่าว นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสงค์ขอเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนภาครัฐจากวิธีแปลงสินทรัพย์เป็นวิธีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่านั้น

ประกอบกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ข้อ 8 ข้อ 27 และข้อ 29 กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการเป็นผู้ให้ความเห็นชอบวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ดังนี้ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ

โดยให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง การปรับปรุง แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้องในส่วนที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันงบประมาณในข้อ 1.2 และข้อ 1.6 ตามหนังสือสำนักงบประมาณที่ นร 0704/097 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2551

ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าเมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ก่อสร้างอาคารใหม่ทดแทนเรียบร้อยแล้วควรดำเนินการรื้อถอนอาคารเดิมเพื่อความปลอดภัยในการใช้อาคาร และเพื่อมิให้เป็นภาระแก่ภาครัฐในการจัดสรรงบประมาณซ่อมแซมและดูแลรักษาไปพิจารณาดำเนินการด้วย เป็นการอนุมัติหลักการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) เฉพาะเรื่องเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนภาครัฐจากเดิม

โดยวิธีแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ตามที่บริษัทธนาพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เสนอเป็นวิธีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอเท่านั้น ไม่รวมรูปแบบการจัดจ้างแนวทางการจัดจ้าง หรือวิธีการจัดจ้าง ซึ่งเป็นเรื่องของหัวหน้าส่วนราชการจะเป็นผู้ให้ความเห็นชอบการกระทำของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลโดยทั่วไป ซึ่งการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จึงไม่เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบบราชการ และระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

ทางไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างได้รับการพิจารณาเหตุผลความจำเป็นโดยมีมูลเหตุข้อขัดข้องในทางกฎหมาย แล้วเสนอขึ้นมาตามลำดับบังคับบัญชาจนถึงจำเลยที่ 2 โดยผู้บังคับบัญชาในแต่ละลำดับชั้น รวมทั้งพลตำรวจโทธีรยุทธ กิติวัฒน์ เจ้าหน้าที่พัสดุสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจโทพงศพัศ พงษ์เจริญ ต่างพิจารณาให้ความเห็นชอบโดยให้ดำเนินการตามที่สำนักงานส่งกำลังบำรุงเสนอ

ซึ่งพลตำรวจโทพงศพัศเคยเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางดำเนินการจัดจ้างที่เคยพิจารณาข้อดีข้อเสียของแนวทางวิธีการจัดจ้างที่เสนอมาใหม่ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่อาจเป็นไปได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ใช้อำนาจครอบงำสั่งการให้มีการเสนอขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างหรือมีพฤติการณ์ที่มิชอบแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการใช้ดุลพินิจให้ความเห็นชอบการจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ข้อ 8 ข้อ 27 และข้อ 29 แล้ว

ทั้งการกำหนดรูปแบบการจัดจ้าง แนวทางการจัดจ้าง และวิธีการจัดจ้าง มิใช่เรื่องที่ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา แม้จำเลยที่ 2 ขออนุมัติต่อจำเลยที่ 1 โดยไม่เสนอให้นายกรัฐมนตรีนำเสนอเรื่องแก่คณะรัฐมนตรีพิจารณาก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 เคยอนุมัติวิธีการจัดจ้างตามที่พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น เสนอมาก่อนแล้ว

การเสนอดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามสายงานการบังคับบัญชาเท่านั้น ซึ่งไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะอนุมัติตามที่จำเลยที่ 2 เสนอหรือไม่ก็ไม่มีผลต่อความเห็นชอบของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่การกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบบราชการ และระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

จำเลยที่ 3 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการประกวดราคา และจำเลยที่ 4 เป็นกรรมการและเลขานุการฯ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลังวงเงิน 6,298,000,000 บาท ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง ประกาศประกวดราคาจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2553 และเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เลขที่ 15/2553 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2553

เมื่อจำเลยที่ 5 จัดทำบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้าง (Bill of Quantities หรือ BOQ) ราคารวม 5,848,000,000 บาท ตามที่ได้ยืนราคาครั้งสุดท้ายส่งให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ภายในระยะเวลาที่กำหนด จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงมีหน้าที่ต้องนำบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้างของจำเลยที่ 5 เสนอให้คณะกรรมการประกวดราคาพิจารณา แต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่นำบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้างดังกล่าวเสนอคณะกรรมการประกวดราคา

โดยรายการในส่วนของงานฐานรากที่เสนอราคาเสาเข็มตอกรูปสี่เหลี่ยมตัน ขนด 0.30×0.30×21 เมตร มีราคาต่ำกว่าราคากลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และราคาของกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ที่กำหนดไว้ เมื่อพิจารณาเอกสารการประกวดราคา ข้อ 6.1 และ ข้อ 6.5 วรรคสอง แล้วเห็นได้ว่าราคาต่ำจนคาดหมายได้ว่าไม่อาจดำเนินงานตามสัญญาได้ ต้องพิจารณาจากราคารวมเป็นสำคัญ การพิจารณาของคณะกรรมการประกวดราคา จึงต้องพิจารณาในภาพรวมตามความเหมาะสมและอยู่ภายในวงเงินที่จำเลยที่ 5 เสนอราคา และภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากราชการ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ราคารวมที่จำเลยที่ 5 เสนอต่ำกว่าราคากลาง 540,000,000 บาท คิดเป็นเพียงร้อยละ 8.45 ไม่เกินร้อยละ 15 ตามที่กำหนดไว้ในมาตรการป้องกันหรือลดโอกาสการสมยอมกันเสนอราคาตามมติคณะรัฐมนตรีที่จะต้องจัดทำบันทึกคำชี้แจงส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ถือว่าไม่ใช่ราคาต่ำเกินสมควรจนคาดหมายไม่ได้ว่าอาจดำเนินงานตามสัญญาได้ และบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้างระบุราคารวมไม่เกินราคารวมที่จำเลยที่ 5 เสนอยืนราคาครั้งสุดท้าย

พฤติการณ์ดังกล่าว เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ทั้งทางไต่สวนไม่ปรากฏจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำการดังกล่าวเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 เมื่อทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 รู้หรือควรรู้ว่าการเสนอราคาครั้งนี้มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือกระทำโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างไม่เป็นธรรม

เพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่ 5 เข้าทำการเสนอราคา จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่มีควมผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 และมาตรา 12 ด้วยจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้สนับสนุน การกระทำความผิดจำเลยที่ 3 และที่ 4 จำเลยที่ 5 และที่ 6 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง