ครม.ประยุทธ์ 2/5 ปรับเล็กตุลา ปรับใหญ่หลังเอเปก-พลังประชารัฐแตกเพื่อโต

ครม.

จังหวะการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 2/5 อยู่ในขั้นตอนกระบวนการทางธุรการ ทันทีที่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กำชื่อ “นริศ ขำนุรักษ์” ส.ส.พัทลุง ส่งให้กับมือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หัวหน้ารัฐบาล

1 ตำแหน่งเป็นอย่างน้อยที่จะมีการนำชื่อทูลเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี ที่ยื่นใบลาออก เพื่อไปต่อสู้คดีไม่จ่ายค่ารถอเนกประสงค์สมัยดำรงตำแหน่งนายกอบจ.สงขลา

แม้ 1 ตำแหน่งที่ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ (นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ) กับ 2 ตำแหน่งที่ว่างลงก่อนหน้า (รมช.เกษตรและสหกรณ์ กับ รมช.แรงงาน) พรรคภูมิใจไทยกับพรรคพลังประชารัฐตามลำดับที่ถือโควตายังไม่ประสงค์จะปรับ

ทว่า ภายในพรรคพลังประชารัฐยังมีความเคลื่อนไหว-แรงกระเพื่อมเป็นระเบิดเวลา 2 ลูก ซุกอยู่ใต้พรมตึกไทยคู่ฟ้า

“สายันต์ ยุติธรรม” ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการปรับครม.ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ว่า ยังไม่มีสัญญาณ การเคลื่อนไหวทางการเมืองจะเกิดขึ้นหลังการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเอเปก ขณะนี้ต้องปล่อยให้นายกรัฐมนตรีคิดเรื่องการประชุมเอเปก ซึ่งเป็นการประชุมเวทีระดับโลกไปก่อน ตอนนี้ตนคิดว่า ฝ่ายการเมืองควรจะนิ่ง เพื่อให้บรรยากาศการประชุมเอเปกเป็นไปได้ด้วยดี รวมถึงทุกภาคส่วน ทั้ง ส.ส. ประชาชน และภาคเอกชน ให้แสดงออกถึงความเป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับผู้นำระดับประเทศที่จะเข้ามาร่วมการประชุมในครั้งนี้

“หากจะมีการปรับครม. ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ หลังการเป็นเจ้าภาพจัดงานเอเปก ซึ่งอำนาจการปรับครม.เป็นของนายกรัฐมนตรีที่จะเป็นคนคิดเองว่า จะปรับใครออก ปรับใครเข้า เพราะพล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ในส่วนของตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคพลังประชารัฐที่ว่างลงก่อนหน้านี้ 2 เก้าอี้ มีกระบวนการเสนอชื่อของพรรค สุดท้ายแล้วขึ้นอยู่นายกรัฐมนตรีเพราะมีอำนาจเต็ม”

แกนนำกลุ่ม 14 ส.ส.ใต้ กล่าวอีกว่า ถ้าเป็น โควตา ส.ส.ใต้ ต้องเป็น ส.ส.เขต 14 คนเท่านั้น และต้องไม่ใช่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพราะตลอด 3 ปีครึ่งที่ผ่านมาที่เราจมหัวจมท้ายกันมา ไม่เคยแตกแยกกัน ไม่เคยถกเถียงกัน อยู่กันอย่างสามัคคี ไม่เคยแหกมติพรรค คนนอกจะมาเป็นรัฐมนตรีโดยใช้โควตา ส.ส.ภาคใต้ 14 คนไม่ได้

“ถ้าปรับครม.จะมีประโยชน์ต่อ ส.ส.ภาคใต้ว่ามีหัว มีแกนในการหาเสียง แต่ถ้าไม่ปรับครม.ก็เสมอตัว ไม่แตกแยก อยู่ไปจนครบวาระ แต่ถ้าปรับครม.จะเป็นผลบวกกับพรรคในการเดินการเมืองในภาคใต้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้ามีรัฐมนตรีภาคใต้สัก 1 คน การเลือกตั้งสมัยหน้า 20 ที่นั่งอัพ ถ้าไม่ปรับ 14 ที่นั่งเหมือนเดิม”

“ไปปรับครม.แต่ในสัดส่วนโควตาพรรคประชาธิปัตย์ นายกฯ คงไม่ทำ ไปปรับแต่ประชาธิปัตย์ เป็นการทำเพื่อประชาธิปัตย์ แล้วพรรคลูกเอง พรรคพลังประชารัฐเอง กลายเป็นลูกเลี้ยง ลูกเลี้ยงได้หมด แต่ลูกตัวเองไม่สนใจ ไม่ได้ ถ้าจะปรับก็ต้องปรับเหมือนกันหมด ถ้าจะไม่ปรับก็ไม่ปรับเลย ส.ส.ใต้ไม่มีปัญหา”

แกนนำ ส.ส.กลุ่มปากน้ำ บอกว่า ปรับครม.ตอนนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เพราะเวลาของสภาเหลือน้อยแล้ว แต่หากจะปรับครม.เป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐมนตรีโควตา ส.ส.กลุ่มปากน้ำ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผู้ใหญ่ว่ายังไงก็ว่าอย่างนั้น ขอให้ทำงานเพื่อประเทศชาติ สุดท้ายก็เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี

“แต่ถ้าพล.อ.ประวิตรได้เป็น มท.1 จะช่วย ส.ส.ทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.พรรครัฐบาลหรือ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน”

แหล่งข่าวระดับสูงทำเนียบรัฐบาลระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะ “ปรับเล็ก” ก่อนการประชุมเอเปค ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก่อน และจะมีการ “ปรับใหญ่” หลังการประชุมเอเปกอีกครั้ง เพราะหากปรับใหญ่เร็วอาจจะทำให้ “พรรคแตก” เร็วขึ้น  ขณะที่แกนนำรัฐบาลที่เชื่อมทั้งทำเนียบและพรรคร่วมรัฐบาลระบุว่า การปรับครม.น่าเกิดขึ้นภายในเดือนตุลาคมนี้

“ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า การปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/5 ที่ยังกลับไม่ได้-ไปไม่ถึง ว่าเป้าหมายของ 3 ป. มี 2 โจทย์ซ้อนกันอยู่

“เราพูดวิธีการในมุมที่ว่า การสืบทอดอำนาจของกลุ่ม 3 ป.ผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่มีสืบต่ออำนาจอีกมุมหนึ่งคือ การสืบทอดทายาท จังหวะและโอกาสที่สำคัญคือ การปรับ ครม.”

“การปรับ ครม.รอบนี้ ระยะสั้นคือ การวางคนให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเข้าทางรัฐบาล ระยะยาวคือ การเปิดตัวทายาทที่จะมารับไม้ต่อ เปิดพื้นที่ทางการเมืองให้ได้แสดงฝีมือ หากรอเปิดตัวทายาทในรัฐบาลหน้าอาจจะไม่ทันหรือไม่มีโอกาส”

พรรคพลังประชารัฐกำลังเจอวิกฤตซ้อนวิกฤต แรงกระเพื่อมจากการปรับครม.ประยุทธ์ 2/5 และปรากฎการณ์ ส.ส.หนีตาย เพราะเรตติ้งพล.อ.ประยุทธ์ตกต่ำ

ประกอบกับวาระการดำรงตำแหน่งของพล.อ.ประยุทธ์เหลืออีกเพียง 2 ปี จนทำให้พลังประชารัฐต้องแก้เกมด้วยการชูพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์ 1

กระแสข่าว ส.ส.ย้ายพรรคจึงกดดันพล.อ.ประยุทธ์ให้ถอนตัวจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพลังประชารัฐ หรือ อย่างน้อยยอมจำนนเป็น “เบอร์รอง” จากบิ๊กป้อม พี่ใหญ่

จากปากคำ-ปากต่อปากของแกนนำกลุ่มต่าง ๆ ในพรรคพลังประชารัฐเอ่ยปาก ส.ส.ส่วนใหญ่ยังไม่คิดหนี-ตีจากจากพรรคพลังประชารัฐ ยกเว้นคนที่แสดงตัวชัดเจน

“วันนี้พลังประชารัฐไม่มีใครไหลออก ส.ส.ภาคเหนือตอนล่างไม่ออก กลุ่มปากน้ำก็ยังไม่ไปไหน กลุ่มชลบุรี อยู่กับลุงตู่ ลุงตู่ลุงป้อมยังไงก็ไปด้วยกับ กลุ่มสามมิตรจะอยู่กับจนถึงวันเลือกตั้ง ส่วนกทม.จะออก หรือ ไม่ออกอยู่ที่กระแส 3 วันเลือกตั้ง ระหว่างอุ๊งอิ๊งกับพล.อ.ประยุทธ์ใครเป็นนายกฯ กทม.โนเนมก็ได้ ถ้ากระแสดี”แกนนำพลังประชารัฐต่างกลุ่ม-ต่างก๊วนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันโดยไม่ได้นัดใหม่

ส.ส.มุมแดงมองว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้ระบบรัฐสภาอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะต้องอาศัยเสียง-มือของส.ส. กับ ส.ส.มุมน้ำเงินที่มองว่าเข้ามานั่งอยู่ในสภาได้เป็นส.ส.สมัยนี้เพราะกระแสของพล.อ.ประยุทธ์

สองกระแสในพลังประชารัฐจึงปะทะกัน