สุพัฒนพงษ์ แย้ม ต่อลดภาษีสรรพสามิตดีเซล เล็ง ใช้เวทีเอเปคดึงดูดนักลงทุน

สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์

สุพัฒนพงษ์แย้ม ต่อมาตรการลดภาษีสรรพสามิต รักษาระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ยันของขวัญปีใหม่มาตามนัด เล็งใช้เวทีเอเปค โชว์ศักยภาพน่าอยู่-หน้าอาศัย โชว์ผู้นำต่างชาติ ดึงดูดนักลงทุนย้ายฐานซบไทย

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน เปิดเผยถึงกรณีมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2565 ว่า

ช่วงนี้ราคาผันผวน ทำให้ประเมินยาก เพราะดอกเบี้ยมีการปรับขึ้น ซึ่งไม่แน่ใจว่าราคาน้ำมันจะลงหรือไม่ หากตามทฤษฎีการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกดให้ราคาน้ำมันลงบ้างตามทิศทางของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ต้องจับตาค่าเงินบาทว่าจะอ่อนค่าตามด้วยหรือไม่

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ขณะเดียวกันที่ประชุมสมาชิกโอเปกพลัส เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้มีมติปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือนพฤศจิกายน ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอีก ต้องดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะช่วงนี้เป็นสถานการณ์วิกฤตที่พิเศษจริง ๆ ทั้งผู้ที่กำหนดนโยบายระดับโลก

และประเทศที่สร้างฐานะการต่อรองได้เพื่อลดความร้อนแรง เพื่อลดการใช้หรือบริโภคภายในประเทศของเขาที่มีความต้องการสูงขึ้น ขณะที่ไทยเริ่มมีความต้องการสูงขึ้น ขณะที่ราคาต้นทุนการผลิตก็สูงขึ้นตามไปด้วย แม้ความต้องการลดลง แต่ซัพพลายก็ลดลง ซึ่งไม่ได้ส่งผลให้ราคาลดลง

“ขณะนี้เศรษฐกิจของไทยกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปรับตัวดีขึ้น หากต้นทุนการผลิต (ราคาน้ำมัน) ยังสูงอยู่อาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลของเศรษฐกิจภายในประเทศ” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า สำหรับของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลจะมอบให้กับประชาชน เดิมจะเสนอเข้าที่ประชุมครม. 15 พฤศจิกายน แต่ไม่ทัน เพราะติดการประชุมเอเปค จึงต้องเลื่อนไปเป็น 29 พฤศจิกายนตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง

ขณะที่เศรษฐกิจไทยตัวชี้วัดดีขึ้น ไฟฟ้าดีขึ้น การบริโภคของประชาชนและภาคเอกชนดีขึ้น ส่งออกดีขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทลงไปที่ 35-36 บาทต่อดอลล่าสหัฐ ขณะที่ช่วงต้นปีนักท่องเที่ยวยังเตาะแตะ ๆ ตอนนี้นักท่องเที่ยวล่าสุดมีจำนวน 7.5 ล้านคน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว ห่วงแต่รายได้ของประเทศมากกว่า ซึ่งกำลังพยายามกระตุ้นให้ประชาชนเกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

นายสุพัฒนพงษ์ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลกำลังเร่งดึงดูดต่างชาติที่ต้องการพำนักไทยระยะยาว โดยจะใช้เวทีการประชุมเอเปคให้เป็นประโยชน์ เพราะมีนักธุรกิจและผู้นำจากหลายประเทศเดินทางเข้ามายังประเทศไทย และเมื่อเห็นว่าบรรยากาศของประเทศไทยน่าลงทุน น่าอาศัยก็จะเกิดการตัดสินใจลงทุน เพราะการย้ายฐานการผลิตมีอยู่แล้ว จากหลายประเทศที่มีปัญหาความขัดแย่งทางภูมิรัฐศาสตร์เขาก็ต้องลดความเสี่ยง

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ขณะที่พื้นที่ EEC ไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะโครงสร้างพื้นฐานทางถนนเพียงอย่างเดียวก็สามารถเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมได้ครบทุกมิติ อย่างไรก็ตาม ห่วงเรื่องรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ยังไม่ได้ข้อสรุป อย่างไรก็ตาม ก็ต้องได้ข้อสรุปอยู่ดีไม่ว่าเร็วหรือช้า ขณะที่เส้นทางขนส่งโลจิสติกส์เชื่อมเวียดนาม กัมพูชามีความสะดวกมากขึ้น ซึ่งถนนสองเลนก็ถือว่าใช้ได้