
เพื่อไทยตั้งโต๊ะชี้แจงเงินดิจิทัลวอลเลต ให้อายุ 16 ปีขึ้นไปคนละ 1 หมื่นบาท เป็นเงินดิจิทัลที่นำไปหมุนเศรษฐกิจ แต่จะได้เงินจริงกลับมาเป็นภาษีแวต และการจัดเก็บงบประมาณที่เพิ่มขึ้น
วันที่ 7 เมษายน 2566 ที่พรรคเพื่อไทย นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบาย และประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค และโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค และกรรมการด้านเศรษฐกิจ ร่วมกันแถลงชี้แจงนโยบายดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท
- สินมั่นคงฯ : คปภ.เกาะติดกระบวนการฟื้นฟูกิจการ-ส่งสัญญาณเตือน ปชช.
- ครม.เคาะแล้ว ซื้อสินค้าลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 หมื่นบาท เริ่ม 1 ม.ค. 67
- ญี่ปุ่นสู้ศึก EV จีน-ลุยส่งออก โตโยต้ายอดพุ่ง “BYD-เทสลา” แรง
ทั้งนี้ นายเศรษฐาชี้แจงว่า นโยบายคือ ดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท สำหรับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปภายใน 6 เดือน เพื่อต้องการกระตุก กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในท้องถิ่น ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างบล็อกเชน ซึ่งสามารถระบุวิธีการใช้เงินว่าจะนำไปใช้จ่ายอะไรได้บ้าง ไม่สามารถใช้ในพื้นที่นอกบัตรประชาชนได้ และจะจำกัดไม่ให้ใช้ในรูปแบบอื่นที่ไม่เหมาะสม เช่น ใช้ในการพนัน ใช้หนี้นอกระบบ
นอกจากนี้ อาจจะมีการพิจารณาข้อจำกัดอื่นเพิ่มเติม เช่น การขยายระยะทางในการใช้ดิจิทัลวอลเลต ในพื้นที่ห่างไกล เช่น 6.5-7.5 กม. อีกเรื่องหนึ่งที่พิจารณาอยู่คือ การใช้หนี้สถาบันการเงิน ตนและทีมจะลงพื้นที่พบปะประชาชน ถ้าประชาชนเห็นด้วยเราอาจจะกันไว้ส่วนหนึ่งเพื่อไปใช้หนี้สถาบันการเงินได้
เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยต้องการช่วยคนให้หลุดพ้นหลุมดำจากความยากจน ดิจิทัลวอลเลต เป็นการจุดสตาร์ตให้ประชาชนลุกขึ้นเดินมาทำมาหากินอีกครั้ง และหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาลได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้ คาดว่านโยบายดิจิทัลวอลเลต จะดำเนินการได้ในช่วง 1 มกราคม 2567
“รัฐบาลที่ผ่านมาค่อย ๆ หยอดน้ำเข้าต้มเรื่อย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นวิธีทางเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ” นายเศรษฐากล่าว
แจกเงินดิจิทัลปั่นเศรษฐกิจ เก็บเงินจริงจากภาษี
นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า เจตนารมณ์และจุดยืนของพรรคเพื่อไทย คือต้องการได้อำนาจรัฐ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ประกาศเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 มาตรการของพรรคเพื่อไทยที่ได้ทยอยประกาศออกมา ตั้งแต่เรื่องรายได้ขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน เงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน ภาคการเกษตรซึ่งมีประชากร 40% ของประเทศ จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี
ทั้งหมดนี้เป็นเป้าหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ด้านภาคธุรกิจและภาคบริการ พรรคเพื่อไทยจะกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยจะเปิดประตูรองรับการท่องเที่ยว เพื่อนำเม็ดเงินเข้าประเทศ เช่น โครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ที่จะเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ตั้งเป้า 200,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี และอื่น ๆ อีกมากมาย
“เศรษฐกิจของประเทศไทยยังอยู่อันดับท้ายของอาเซียน ค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น แต่รายได้ไม่เพียงพอ เราไม่อยากหยอดน้ำข้าวต้ม เพื่อยื่นความตาย เราจึงต้องปั๊มหัวใจฟื้นมาอย่างรวดเร็วและแข็งแรง” นพ.พรหมินทร์ กล่าว
นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเลตเป็นมาตรการระยะสั้น เพื่อรีบปลุกพละกำลังของคนไทยให้ฟื้นขึ้น มีนักเศรษฐศาสตร์บอกว่าเป็นการกระตุ้นการบริโภคอาจจะไม่ถูกทาง แต่นโยบายดังกล่าวถือว่ามีความหมายมาก เพื่อปลุกเร้าให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและแข่งขันกับต่างประเทศได้
ส่วนข้อกังวลว่านโยบายดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท จะเป็นการสัญญาว่าซึ่งอาจขัดกับกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ จะให้หรือไม่ นพ.พรหมินทร์กล่าวว่าไม่ขัด เพราะถือเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง อีกทั้งคนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปจะได้รับ ไม่ได้ให้เป็นการเฉพาะเจาะจง ไม่สามารถจำกัดสิทธิของประชาชนซึ่งอาจจะขัดรัฐธรรมนูญ
สำหรับข้อห่วงใยเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณในนโยบายดังกล่าวนั้น ยืนยันว่ามาจากการประเมินของหน่วยงานของรัฐ ที่คาดว่าจะมีการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 260,000 ล้านบาท และมาจากภาษีต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณแสนกว่าล้านบาท รวมทั้งงบประมาณจากโครงการต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว
พรรคเพื่อไทยมีนักบริหารที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาแล้ว การใช้งบประมาณทั้งหมดภายใต้กรอบที่เสนอไป จะมีนายเผ่าภูมิ ดูแลร่วมกับนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค ภายใต้งบประมาณที่มี เพื่อให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น ยืนยันว่าประชาชนจะได้งานและได้เงินที่ดีกว่า
“ตอนนี้เหมือนประเทศไทยเป็นรถเฟอร์รารี่ แต่ให้คนขับเกวียนมาขับ มันไปไม่ได้ ต่อไปนี้คนขับรถแข่งมาขับเอง” นพ.พรหมินทร์กล่าว
นพ.พรหมินทร์อธิบายเพิ่มเติมว่า นโยบายนี้ เราไม่ได้แจกเป็นเงินสด หรือเงินจริง ๆ แต่เราแจกเป็นเงินดิจิทัล เพื่อประชาชนนำไปใช้ ก็จะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อประชาชนเกิดการใช้จ่ายแล้วและทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน ผลที่ตามมาคือรัฐได้เงินจากภาษีที่เป็นเงินจริง ๆ เพื่อเป็นหลักประกันไว้ก่อน และเงินแต่ละรอบที่หมุนไปก็จะเก็บภาษีคืนได้
ตั้งเป้าไทยเป็นฟินเทค รองแค่จีน
นายเผ่าภูมิกล่าวว่า การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจพื้นฐาน และเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งด้านของเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจพื้นฐาน 2.5 เท่า และในที่สุดจะมีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจพื้นฐาน หากไม่วางโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล จะทำให้ประเทศไทยเดินไปสู่หายนะ
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจดิจิทัล วันนี้พรรคเพื่อไทยไปไกลกว่า Free-WiFi อินเทอร์เน็ต 5G แต่เราจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินยุคใหม่ให้กับประเทศ ต่อจากนี้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป จะมี 2 บัญชีคือ บัญชีออมทรัพย์ทั่วไป และบัญชีดิจิทัลวอลเลต ที่จะผูกบัตรประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคนโดยอัตโนมัติ โดยจะมีกุญแจดิจิทัล ให้กับประชาชนเข้าถึงบัญชีนี้

ดึงดูดผู้ใช้ด้วยการใส่เงินก้นถุง 10,000 บาทให้กับประชาชนทุกคน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการสร้างแรงจูงใจระบบการเงินยุคใหม่นี้ เมื่อจบโครงการนี้ประเทศจะก้าวสู่ระบบการเงินยุคใหม่ด้วย (CBDC) หรือ Central Bank Digital Currency ซึ่งสามารถใช้ในระบบการจัดจ้าง การใช้จ่ายปกติทั่วไป
ทั้งหมดจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศอันดับหนึ่งในภูมิภาค ที่ใช้เงินดิจิทัล กลายเป็นประเทศอันดับ 2 ในซีกโลกตะวันออกรองจากจีน และไทยจะอยู่ไม่เกินอันดับ 10 ของโลก และจะทำให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางการระดมทุนผ่าน Digital Asset เป็นศูนย์กลางของ Fintech เป็นศูนย์กลางบล็อกเชน เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค รายได้มหาศาล การสร้างงาน การจ้างงานจะเกิดขึ้น ทั้งหมดคือการลงทุนที่ผลตอบแทนสูง
ส่วนงบประมาณที่ใช้นั้น เพื่อไทยไม่เน้นการแจกจ่าย เราจะไม่โอบอุ้มด้วยการให้สวัสดิการไปเรื่อย ๆ เราเน้นการสร้างรายได้ให้กับประชาชน จุดมุ่งหมายคือการสร้างรายได้ให้กับประชาชน ไม่ใช่การโอบอุ้มจุนเจือระยะยาวที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถยืนด้วยขาของตัวเอง
เราคือทุนนิยมที่เท่าเทียม และเป็นทุนนิยมที่มีหัวใจ หลักของเราคือการสร้างรายได้ และเราเป็นพรรคที่ใช้หลักการที่การรดน้ำที่ราก เราเห็นความสำคัญของแรงงาน เอสเอ็มอี ผู้มีรายได้น้อย เพราะเป็นฐานของเศรษฐกิจ ยืนยันพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีความรับผิดชอบสูงสุดต่อวินัยการเงินการคลังของประเทศ และความมั่นคงทางการคลังของประเทศ
“เงินยุคใหม่นี้ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ให้เราเขียนเงื่อนไขลงบนเงินได้ ให้ใช้ภายใน 6 เดือน เพราะเราต้องการเงินหมุนในระดับหมู่บ้าน และคือจุดแตกต่างของเรากับแอปเป๋าตังที่เป็นเงินในโลกยุคเก่า อนาคตถ้าเราอยากสนับสนุน SMEs เงิน 1 หมื่นบาทนี้จะเพิ่มเป็น 1.2 หมื่น ให้ไปช่วย SMEs นี่คือพลังของเงินยุคใหม่” นายเผ่าภูมิกล่าว
เชื่อคนไทยเลิกใช้บัตรคนจน
ด้านนายจักรพงษ์กล่าวว่า การลงทุนภาครัฐมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เป็น 1 ใน 4 เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น การเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ หากการเลือกตั้งเป็นไปตามเจตจำนงของประชาชน จะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ
ทำให้ในปี 2567 รัฐบาลจะมีรายได้จากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 260,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สำนักงบประมาณเคยคาดการณ์ไว้ และยังไม่รวมโครงการอื่น ๆ ของรัฐบาลปัจจุบัน ที่สามารถลดโครงการที่ไม่จำเป็นลงได้
นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะไม่ยกเลิกบัตรคนจน โดยจะดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท กับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป และคาดว่าทันทีที่เริ่มโครงการคนไทยจะไม่อยากใช้บัตรคนจนอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้สามารถลดงบประมาณส่วนของบัตรคนจนลงไปได้ 50,000 ล้านบาท รวมทั้งรีดไขมันจาก พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 2567 จากโครงการที่ไม่จำเป็นอีกต่อไปได้
