เศรษฐา แคนดิเดตนายกฯเพื่อไทย แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

เศรษฐา

3 แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย เศรษฐา ชัยเกษม แพทองธาร ขึ้นเวทีเมืองทองธานี ปักธงแก้รัฐธรรมนูญ-กระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการเติมเงินดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่น ใช้ในรัศมี 4 กิโลเมตร

วันที่ 5 เมษายน 2566 ที่ธันเดอร์โดม สเตเดียม เมืองทองธานี พรรคเพื่อไทย จัดงานปราศรัยใหญ่ในกรุงเทพมหานครครั้งแรก กับงาน “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน ตอน One Team for all Thais โดยมีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยทั้ง 3 คน ได้แก่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายเศรษฐา ทวีสิน และนายชัยเกษม นิติสิริ โดยมีประชาชนมาร่วมงานอย่างคับคั่ง

ทั้งนี้ นายชัยเกษมกล่าวว่า ตนยังคงยืนยันถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรม ในฐานะอดีตข้าราชการ ได้รับการสอนมาเสมอว่า กฎหมายคือเครื่องมือรัฐในการควบคุมการดำเนินกิจกรรมของสังคม อำนวยความสะดวกประชาชน และพัฒนาประเทศชาติ แต่ 8 ปีที่ผ่านมากฎหมายกลับกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐจงใจนำไปใช้อย่างผิดรูป จนกระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ข้าราชการไม่ได้บริการประชาชนด้วยหัวใจ ไร้ซึ่งมิตรภาพและการมองเห็นประชาชนเป็นผู้เสียภาษี ระบบราชการเอื้อผลประโยชน์ให้คนเพียงไม่กี่กลุ่ม

อันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่เป็นผลพวงจากการยึดอำนาจ ของคณะรัฐประหาร ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อสืบทอดอำนาจของพรรคพวกตัวเอง และปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ มีแต่เพียงการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญลวงตาของคณะรัฐประหาร

“พรรคเพื่อไทยจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ขอให้ประชาชนไว้วางใจพรรคเพื่อไทย ทันทีที่ชนะการเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ” นายชัยเกษมกล่าว

นายชัยเกษมกล่าวอีกว่า นโยบาย 3 ประการ ที่จะสร้างนิติธรรมนิติรัฐดี ส่งเสริมให้เศรษฐกิจดีขึ้น และชีวิตทุกคนที่จะดีตามมา ได้แก่ ทำให้กระบวนการยุติธรรมเท่ากับความยุติธรรม, ปฏิรูประบบราชการทั้งระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชนอีกครั้ง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ปักธงร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

ประการแรก พรรคเพื่อไทยจะสร้างกระบวนการยุติธรรมที่ซื้อไม่ได้ และปรับปรุง ยกเลิก กฎหมายที่ล้าหลัง ไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ รวมถึงลดขั้นตอนใช้ดุลยพินิจ เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรมและถ้วนหน้า

ประการที่สอง พรรคเพื่อไทยพร้อม ปฏิรูประบบราชการทั้งระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชน โดยการยกระดับหน่วยงานราชการเป็นดิจิทัล ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการรัฐในที่เดียว และสามารถตรวจสอบผ่าน Blockchain ได้อย่างโปร่งใส

เปลี่ยนการชำระค่าธรรมเนียมเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ และใช้ “Central Bank Digital Currency (CBDC)” ในการจัดจ้าง และดำเนินการของภาครัฐ เพื่อป้องกันการใช้เงินสดทุจริตในระบบราชการและยกระดับระบบการเงินของประเทศ รวมถึงสนับสนุนการทำ “Open Government” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ทุกภาคส่วน

ประการที่สาม พรรคเพื่อไทยขอย้ำจุดยืนที่จะแก้ปมแรกของทุกปัญหา ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประโยชน์ และคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ต้องมาจากการเลือกของประชาชน และต้องมีมาตราสำหรับการป้องกันรัฐประหารให้เป็นความผิดฐานเป็นกบฏ ไม่มีกำหนดอายุความ ตามที่พรรคเพื่อไทยเคยได้เสนอไว้ เพื่อให้รัฐธรรมนูญของไทยตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจอีก

“อีกนับถอยหลัง 37 วัน สู่วันเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ย้ำถึงเป้าหมายที่อยากเห็นประเทศไทยที่ดีกว่า อยากเห็นอนาคตลูกหลานที่มีความสุข โปรดเข้าคูหากาเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ทั้งคน ทั้งพรรค และประชาชนจะได้พบเจอความยุติธรรมที่กินได้ และหน่วยงานราชการที่มีหัวใจเป็นประชาชนอีกครั้ง” นายชัยเกษมกล่าวบนเวทีปราศรัย

อุ๊งอิ๊ง อ้อนมวลชนเลือกอย่างมียุทธศาสตร์

ด้าน น.ส.แพทองธารปราศรัยว่า พรรคเพื่อไทย เบอร์ 29 ให้แลนด์สไลด์ เลือกเพื่อไทยให้ถล่มทลายชนะเสียง ส.ว. เพื่อส่งแคนดิเดต 1 ใน 3 ของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ ภายใต้การบริหารงานร่วมกันเป็นทีม และนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะทวงคืนประชาธิปไตยและสร้างความมั่งคั่งให้กับประชาชนทุกคน

เรื่องที่หนึ่ง พรรคเพื่อไทยจะนำเทคโนโลยีการเงิน อย่าง Blockchain ที่มีความคล้ายอินเทอร์เน็ต มาใช้เป็นเครื่องมือในกระจายสินค้าคนไทยไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร งานฝีมือ และธุรกิจขนาดย่อย ให้เงินจากทั่วโลกไหลเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลของคนไทย

ที่รัฐบาลจากพรรคเพื่อไทยจะมอบให้ประชาชนทุกคนที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป พร้อมเงินติดกระเป๋าไว้ใช้เบื้องต้นในระยะสั้นจำนวน 10,000 บาท สำหรับใช้จ่ายใกล้บ้านระยะทาง 4 กิโลเมตร ภายในเวลา 6 เดือน ก่อนเงินจากตลาดโลกจะไหลเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลในระยะยาว

ตอกย้ำจุดยืนที่พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือ Fintech ของอาเซียน เพราะในโลกยุคใหม่ การเงินไม่จำเป็นต้องอาศัยธนาคารขนาดใหญ่อีกต้องไป เราจึงต้องรู้เท่าทันและก้าวไปข้างหน้าก่อนใคร

เรื่องที่สอง ‘Soft Power’ จากการยกตัวอย่างความสำเร็จในการผลักดัน Soft Power ของเกาหลีใต้ ให้เห็นว่าหากเปรียบกับประเทศไทยแล้วก็มีศักยภาพที่ไม่แพ้กัน เพียงแต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เปรียบเป็นเพชรที่รอการเจียระไน โดยนโยบาย 1 ครอบครัว 1 Soft Power (One Family One Soft Power : OFOS) ของพรรคเพื่อไทย

จะเข้าไปค้นหาเพชรจากทุกครอบครัว โดยเปิดกว้างให้ทุกความสามารถได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกฝนทักษะทุกแขนง เพื่อสร้างรายได้ให้ได้อย่างน้อย 20,000 บาท/เดือน/คน พร้อมโครงการที่จะส่งเสริมให้กลุ่มคนที่มีทักษะได้ไปไกลระดับโลก เช่น โครงการครัวไทยสู่ครัวโลก มวยไทยสู่มวยโลก ศิลป์ไทยประทับใจโลก

เรื่องที่สาม นโยบายระยะสั้นเพื่อรอการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มั่นคงในระยะยาว พรรคเพื่อไทยจะสำรวจรายได้ทุกครัวเรือนให้อยู่ในมาตรฐานรายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน หากครอบครัวไหนมีน้อยกว่า 20,000 บาท/เดือน เราจะเติมให้ครบ 20,000 บาททันที เพื่อลดช่องว่างระหว่างรายได้ ไม่ต้องมีใครต้องทนทุกข์อยู่กับความยากจนอีก

เรื่องที่สี่ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น 600 บาท/วัน และเงินเดือนสำหรับวุฒิปริญญาตรีและข้าราชการเริ่มต้น 25,000 บาท ที่จะเป็นผลจากนโยบายการกระตุ้นจีดีพี ของพรรคเพื่อไทยให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% โดยเห็นผลได้ทันทีในปี 2567 หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ค่าแรงขั้นต่ำจะเริ่มทยอยปรับขึ้นเป็น 400 บาท/วัน แน่นอน

“ขอฝากให้ประชาชนร่วมกันโหวตเพื่อไทยอย่างมียุทธศาสตร์ ให้แลนด์สไลด์ จะได้ร่วมกันสร้างประเทศไทย และคนไทย ให้มั่งคั่ง มีความสุขกันถ้วนหน้า วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาพรรคเพื่อไทย เบอร์ 29 และเลือก ส.ส.เพื่อไทยเบอร์ตามเขตที่ท่านมีภูมิลำเนา” น.ส.แพทองธารกล่าว

ประกาศแจก 1 หมื่น ใส่กระเป๋าเงินดิจิทัล

นายเศรษฐากล่าวว่าตลอดชีวิตได้พบเจอกับความไม่เท่าเทียมทั้งทางฐานะและโอกาสที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ตนพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันความเท่าเทียมทางฐานะและโอกาสเสมอมา แต่ทางเดียวที่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ได้ ภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงเป็นสิ่งที่จุดประกายให้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อรับบทบาทในการแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ เพื่อให้ลูกหลานได้มีสังคมและชีวิตที่ดีกว่า

โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง นั่นคือการเติมเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่เคยประกาศไว้ในงาน คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่บอกตัวเลขว่าเท่าไร และนโยบายการต่างประเทศเพื่อหาตลาดส่งออกสินค้าไทย

อย่างแรก การนำเทคโนโลยีการเงินมาใช้เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล พร้อมเติมเงินให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ได้ใช้ซื้อของในชีวิตประจำวันได้จากร้านค้าในชุมชน ให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยเงินที่จะเติมให้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลมีมูลค่าถึง 10,000 บาท เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับประเทศ สร้างความเจริญเติบโตให้เศรษฐกิจไทย และลดช่องว่างรายได้ ในขณะที่รัฐบาลจะได้รายได้กลับคืนมาในรูปแบบของภาษี และการยกระดับเศรษฐกิจทั้งระดับ

อย่างที่สอง เพื่อไทยขออาสาหาตลาดให้กับผู้ผลิตสินค้าในไทย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น หรือสุราพื้นบ้าน ให้สินค้าจากไทยเข้าถึงตลาดทั่วโลก ที่จะนำรายได้มหาศาลมาสู่ประชาชน โดยหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะมีการยกระดับการเจรจาทางการทูต เพื่อผลประโยชน์ของคนไทย ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงสิทธิ์ฟรีวีซ่าของพาสปอร์ตไทยในอีกหลาย ๆ ประเทศ ด้วยเช่นกัน

ความสำคัญในการเจรจาการทูตว่า นอกจากความอิสระของพาสปอร์ตไทยแล้วในอีกมุมหนึ่งยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาใช้จ่าย เพิ่มเงินหมุนเวียนในประเทศ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและเอกชนในต่างประเทศก็สำคัญ เพราะเพื่อไทยจะไปเจรจากับบริษัทต่างประเทศให้เลือกลงทุนที่ประเทศไทย เพิ่มตำแหน่งงาน เพิ่มรายได้ให้คนไทย

ส่วนเรื่อง Soft Power ที่หลากหลายของคนไทย ต้องมีการผลักดันจากภาครัฐและสร้างพื้นที่รองรับการแสดง Soft Power เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงคอนเสิร์ต, งานศิลปิน, เทศกาลหนัง และอื่น ๆ อีกมากมาย ให้เมืองไทยกลายเป็นหมุดหมายที่ทั่วโลกอยากเข้ามาจัดการแสดงที่ประเทศไทย

อย่างที่สาม คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทัดเทียมระดับโลก โดยประเทศไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศ ทางราง และทางเรือ ให้สามารถรองรับผู้คนและสินค้าให้ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายสนามบิน ขยายโครงข่ายรถไฟให้เชื่อมเหนือจดใต้

และเพิ่มความสามารถของท่าเรือเชื่อมต่อ โดยที่พรรคเพื่อไทยจะยังไม่ละเลยความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ ที่ต้องบริหารจัดการให้เติบโตไปพร้อมกับประเทศได้ อย่างการนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารพื้นที่ชลประทานอย่างเป็นระบบ ภายใต้การประสานงานของหน่วยงานรัฐที่ทำงานโดยมีประชาชนเป็นหัวใจหลัก

และอากาศสะอาดที่เป็นพื้นฐานการดำรงชีวิต ประชาชนไม่ควรต้องร้องขอจากรัฐ โดยเฉพาะปัญหา PM 2.5 ที่เราเผชิญอยู่ รัฐบาลที่ดีต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นตอทันที

“ศัตรูของคนคือความยากจน ความไม่เท่าเทียม ความลำบากของประชาชน ชัยชนะต่อสิ่งเหล่านั้นคือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเราทุกคน และตนมีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงต้องขอให้ประชาชนคนไทยทุกคนช่วยเป็นกำลัง เพื่อส่งเพื่อไทยไปจัดตั้งรัฐบาลได้มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 มาจากพรรคเพื่อไทย โดยการเลือกพรรคเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ ทั้งคน ทั้งพรรค เพื่อส่งต่ออนาคตที่มีแสงสว่าง มีความหวังให้ลูกหลานของเรา” นายเศรษฐากล่าว