
หลังจาก “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคก้าวไกล ไม่อาจไปถึงดวงดาวนายกรัฐมนตรี
ทำให้ขณะนี้เหลือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี บนกระดานพรรคการเมือง
แบ่งเป็น ขั้ว 8 พรรค มีแคนดิเดตพรรคเพื่อไทย 3 คน เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร, ชัยเกษม นิติสิริ
ขณะที่ขั้ว 10 พรรค หรือขั้วรัฐบาลเดิม ขณะนี้มีแคนดิเดตนายกฯ 4 คน ประกอบด้วย
พรรคภูมิใจไทย มี “อนุทิน ชาญวีรกูล” พรรคพลังประชารัฐ มี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พรรครวมไทยสร้างชาติ มี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” และพรรคประชาธิปัตย์ มี “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”
แต่ชื่อที่ถูก “ไฮไลต์” มากที่สุด 5 ชื่อคือ 3 แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นพรรคที่กุมเสียงข้างมากเป็นอันดับสองรองจากพรรคก้าวไกล 141 เสียง
คนแรก “เศรษฐา ทวีสิน” ถอดหัวโขนซีอีโออสังหาฯ หมื่นล้าน อาสาเป็นนักการเมืองกู้เศรษฐกิจ เคยจับงานเศรษฐกิจมาตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
“แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พูดถึง “จุดแข็ง” เศรษฐา ว่า
“ตอนนี้ประเทศชาติไม่ง่าย ดังนั้น ตัวเลือกที่ดีที่สุดกับประเทศชาติ ณ ตอนนี้คือคุณเศรษฐา ที่จะช่วยเรื่องเศรษฐกิจ ถ้าเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล”
ขณะที่ “แพทองธาร” ถูกผลักขึ้นมาบนเวทีการเมือง เป็นแคนดิเดตนายกฯ ลำดับ 2 ขณะนี้ แกนนำในพรรคเพื่อไทยหลายคนมองตรงกันว่า เป็นคน “หัวไวการเมือง-เข้าถึงง่าย-ทำงานเป็นทีม”
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ที่ทำงานใกล้ชิดบอกว่า สิ่งที่ชัดเจนมากคือความชาญฉลาด ความไวต่อการรับรู้สิ่งใหม่ การเปิดกว้างให้กับคนทำงาน การมองเห็นในมิติการทำงานทุกมุม
ขณะที่ “สุทิน คลังแสง” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวจุดแข็ง แพทองธาร ว่า เป็นคนรุ่นใหม่ สามารถนำเอาเทคโนโลยีและดิจิทัลต่าง ๆ มาแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ ที่สำคัญมีฐานคะแนนนิยมสูงมาก
หาก น.ส.แพทองธารได้เป็นนายกฯ แม้จะอายุไม่มาก แต่ก็จะได้คณะรัฐมนตรีที่ล้อมรอบไปด้วยผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ ช่วยเติมเต็มการทำงานได้ จะแตกต่างจาก 8 ปีที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง”
คนที่สาม “ชัยเกษม นิติสิริ” เป็นแคนดิเดตนายกฯ แม้จะไม่ถูกพูดถึงมากนัก เพราะด้วยปัญหาสุขภาพ แต่เขามี “จุดขาย” ด้านความเป็นประชาธิปไตย
“ผมเคยเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่ง ที่ทำให้คนในระบอบรัฐประหาร หมายหัวผมว่าอย่าให้คนนี้โตขึ้นมาได้ เพราะจะเป็นภัยต่อพวกเขา”
ชัยเกษม ถูกชูขึ้นมาด้วยภาพความเป็นผู้ใหญ่ สามารถเชื่อมกับคนในกลุ่มอำนาจได้
1 แคนดิเดต พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง แต่ทรงพลานุภาพทางการเมือง นี่คือจุดแข็งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตจากพรรคพลังประชารัฐ ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด
สมกับสโลแกน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” คือ เป็นผู้มากบารมี-รู้จักคนเยอะ
รูปธรรมที่แสดงออกว่า พล.อ.ประวิตรมีศักยภาพที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 คุณสมบัติทางกายภาพภายนอก ไม่ได้เป็นข้อจำกัด-ได้ คือ ในช่วงรักษาการนายกรัฐมนตรี 37 วัน อนุมัติงบประมาณเกือบ 5 แสนล้านบาท สมกับฉายา “ป้อมทะลุเป้า”
ด้วยอายุย่าง 78 ปี ประกอบกับสรีระที่เสื่อมไปตามช่วงวัย เพราะ “สะโพกเคลื่อน” ทำให้ “เดินช้า” ของ พล.อ.ประวิตร จะดูว่าเป็น “จุดอ่อน”
แต่ พล.อ.ประวิตรกลับมองว่าเป็น “จุดแข็ง” เพราะถึงแม้จะช้า แต่ “คิดเร็ว” และแม้จะเป็นคนที่มีบริวารแวดล้อมรอบตัว แต่เป็นคนหนักแน่น “หูหนัก”
แต่ความเป็นคน “ตัวเบา” ไม่มีครอบครัว ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และพร้อมที่จะ “นำได้-ตามเป็น-เย็นพอ”
และ 1 แคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทย ของ “อนุทิน” พรรค 70 เสียง ตัวแปรสำคัญบนกระดาน “อนุทิน” โชว์จุดแข็งของตัวเองก่อนการเลือกตั้งว่าจะไม่เป็นปัจจัยความขัดแย้ง
จะไม่ต้องการเอาชนะพรรคการเมืองด้วยกัน หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แล้วบอกว่าตัวเองชนะ เพราะไม่มีประโยชน์ คนที่ชนะพรรคภูมิใจไทยได้มีกลุ่มเดียวคือประชาชน
แต่ปัจจุบันเขาออกตัวว่า พรรคภูมิใจไทยยังไม่ถึงโอกาสจัดตั้งรัฐบาล