เปิดโผ ครม.ล่าสุด เศรษฐาควบ รมว.คลัง พีระพันธุ์นั่งพลังงาน

เศรษฐา ทวีสิน

เปิดโผ ครม.ล่าสุด เศรษฐานั่งนายกฯควบ รมว.คลัง พีระพันธุ์นั่งพลังงาน  พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ คาดนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องประวิตร นั่งรองนายกฯ พล.อ.ณัฐพล คาดนั่งกลาโหม สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คาดว่าจะได้นั่งกระทรวงคมนาคม

วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยแล้ว โดยจะมีการอัญเชิญพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ และรับสนองพระบรมราชโองการ ในเวลา 18.00 น.ของวันนี้

ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ที่พรรคเพื่อไทย เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางมาที่พรรคเพื่อไทย ชั้น 7 เพื่อดูสถานที่และตรวจความพร้อมให้เกิดความเรียบร้อยสำหรับพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขณะที่สถานีวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นแม่ข่ายในการถ่ายทอดสดพิธี ได้เข้ามาเตรียมความพร้อมถ่ายทอดสดสำหรับพิธีในช่วงเย็นวันนี้แล้ว

ขณะเดียวกันตลอดทั้งวันพบว่า มีตัวแทนจากภาคเอกชนส่งกระเช้าดอกไม้มาที่พรรคเพื่อไทย เพื่อแสดงความยินดีกับนายเศรษฐา ทวีสิน จำนวนมาก

ล่าสุดในส่วนของความเคลื่อนไหวในการจัดโผ ครม. จาก 11 พรรคการเมือง เบื้องต้นมีการแบ่งโควตารัฐมนตรีไว้แล้ว ดังนี้

พรรคเพื่อไทย 141 เสียง ได้รัฐมนตรีว่าการ 8 กระทรวง รัฐมนตรีช่วย 9 ตำแหน่ง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง ได้รัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง รัฐมนตรีช่วย 4 ตำแหน่ง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง ได้รัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วย รวม 4 ตำแหน่ง เท่ากับโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง ที่ได้ 4 ตำแหน่งเช่นกัน พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง และพรรคประชาชาติ 9 เสียง ได้รัฐมนตรีว่าการพรรคละ 1 ตำแหน่ง

เพื่อไทยคุมกระทรวงเศรษฐกิจ

แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แจ้งความจำนงว่าขอคุมกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด คือ กระทรวงการคลัง พาณิชย์ อุตสาหกรรม และคมนาคม เพื่อเดินหน้าฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจตามที่ได้หาเสียง และต้องการสร้างผลงานเพื่อฟื้นชื่อเสียงและเครดิตทางการเมืองที่ลดลงจากการจัดตั้งรัฐบาลแบบ “สลายขั้ว” เดิมพันวาระรัฐบาล 4 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สื่อหลายสำนักรายงานโผคณะรัฐมนตรีตรงกันว่า การจัดวางตัวบุคคลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้น ในส่วนพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, และคาดว่าจะมี นายกฤษฏา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลังที่จะเกษียณในเดือนกันยายนนี้ ได้รับการวางตัวเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อมาช่วยงาน

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็นรองนายกรัฐมนตรี คุมทีมเศรษฐกิจและการต่างประเทศ, นายสุทิน คลังแสง หรือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีตเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เป็นโควต้าคนนอกของพรรคเพื่อไทย ถูกวางตัวว่าจะมานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, หรืออาจต้องหาคนกลางที่เป็นทหารหรือคนที่กองทัพยอมรับ ถ้าเป็นไปตามกระแสนี้ นายสุทิน คลังแสงอาจจะต้องไปนั่งกระทรวงอื่น

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว คาดว่าจะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คาดว่าจะได้กระทรวงคมนาคม และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง อยู่ในโผรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

รายงานข่าวระบุด้วยว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ คาดว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ คาดว่าจะนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  ขณะที่บางกระแสระบุว่า รมว.พลังงาน ยังจะเป็นนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์, ม.ล.ชโยทิต กฤดากร คาดว่าจะมานั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ วางตัวไว้คาดว่าจะเป็น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่

นางพวงเพชร ชุณละเอียด ยังไม่ชัดเจนว่าจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

ขณะที่ตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ  มีการวางตัว นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกระทรวงที่ยังไม่นิ่ง เนื่องจากมีการต่อรองกันค่อนข้างสูง เพราะเป็นกระทรวงใหญ่ มีงบประมาณเยอะ และมีผลต่อการสร้างคะแนนเสียง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงศึกษาธิการ

เดินหน้านโยบายร้อน

แกนนำพรรคเพื่อไทยยืนยันเดินหน้าแคมเปญ “100 วันเศรษฐา เดินหน้านโยบายเพื่อไทย” ทันที โดยให้ความสำคัญกับการออกแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ-ธุรกิจครึ่งปีหลัง เริ่มจากนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่นบาท ทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ใช้ภายในรัศมี 4 กิโลเมตรตามทะเบียนบ้าน ใช้งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท

และมาตรการลดรายจ่าย เช่น จะออกมติ ครม.เพื่อลดราคาพลังงาน น้ำมัน ไฟฟ้า ก๊าซ รถไฟฟ้า พักหนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ยเกษตรกร 3 ปี พักหนี้ธุรกิจเฉพาะที่เดือดร้อนจากโควิด เป็นเวลา 3 ปี สนับสนุนและอุดหนุน picofinance เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

รัฐบาลใหม่จะตั้งคณะทำงานเร่งเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายคือ ค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ คือ 20 บาทตลอดสาย

คู่ขนานกับมาตรการ “เพิ่มรายได้” เช่น รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในปี 2570 จากรายได้เฉลี่ย 10,000 บาท/ไร่/ปี เพิ่มเป็น 30,000 บาท/ไร่/ปี และการจัดหาที่ดินทำกินและออกโฉนด 50 ล้านไร่ เช่น ที่ดินประเภท ส.ป.ก. ประเภทเช่าซื้อ ให้ผู้เช่าซื้อที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือทายาทโดยธรรมจะได้รับโฉนดโดยทันที กรณีบุคคลอื่นที่ได้ที่ดินมาจากผู้เช่าซื้อ หรือจากทายาทโดยธรรมจะได้เอกสารสิทธิ และจะต้องปลูกไม้ยืนต้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่ และจำกัดรายละไม่เกิน 20 ไร่

ปูทางค่าแรง 600 บาท

เช่นเดียวกับการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 25,000 บาท ในปี 2570 เติมเงินให้ทุกครัวเรือนมีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ด้วยการสร้างรายได้ด้วยนโยบาย “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์” โดยสำรวจทุก 6 เดือน

พรรค 2 ลุงดันเบี้ยผู้สูงอายุถ้วนหน้า

แหล่งข่าวจากคณะทำงานด้านนโยบายพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่าจะเจรจากับพรรคแกนนำให้บรรจุเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุไว้ในการแถลงนโยบาย ซึ่งมีข้อเสนอตามที่ได้หาเสียงไว้ ให้เพิ่มเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็น 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 5,000 บาทต่อเดือน