เศรษฐา แย้ม ขึ้นค่าแรงช่วงปีใหม่ ตั้ง ธรรมนัส แก้ปัญหาประมง

นายเศรษฐา ทวีสิน

เศรษฐา ลงพื้นที่สมุทรสงคราม ตั้ง “ธรรมนัส” หัวหน้าทีมแก้ปัญหาประมง เตรียมขึ้นค่าแรงช่วงปีใหม่

วันที่ 1 กันยายน 2566 ที่ท่าเทียบเรือ โรงน้ำแข็งสิริไพโรจน์ ต.แหลมใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางมนพร เจริญศรี สส.นครพนม พรรคเพื่อไทย นายปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมการนโยบายสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย นางนลินี ทวีสิน คณะทำงานด้านนโยบายต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย  นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม คณะทำงานด้านนโยบายการท่องเที่ยว พรรคเพื่อไทย นางสาวณิชาภา โกวิทานนท์ อดีตผู้สมัคร สส.สมุทรสงคราม พรรคเพื่อไทย

นอกจากนี้ ยังมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ รมช.พาณิชย์ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ร่วมลงพื้นที่รับฟังปัญหาประชาชนและภาคการประมง ณ ท่าเทียบเรือโรงน้ำแข็งศิริไพโรจน์ จ.สมุทรสงคราม โดยมีพี่น้องชาวประมงจังหวัดสมุทรสงครามและใกล้เคียงเข้าร่วมรับฟังและสะท้อนปัญหาการประมง

จากนั้น นายเศรษฐากล่าวว่า วันนี้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งในบทบาทใหม่ เพื่อเข้ามารับฟังปัญหา มีผู้ที่รู้จริง ทำจริง เข้ามาเตรียมพร้อมการทำงานร่วมกัน วันนี้ได้เห็นถึงความยากลำบากของพี่น้องประชาชน ขอให้พี่น้องชาวประมงมั่นใจว่าคณะทำงานที่กำลังจะจัดตั้งรัฐบาลจะเดินหน้าทำงานเต็มที่ ในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชาวประมงทุกคน

นับตั้งแต่ที่ตนได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เรื่องแรกที่เร่งดำเนินการคือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว เรื่องที่ 2 ซึ่งได้ดำเนินการในต้นสัปดาห์นี้คือ การแก้ไขหนี้สิน และในวันนี้ถือเป็นเรื่องที่ 3 คือการทำการประมง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญสูงสุด โดยก่อนที่จะมีการออกกฎหมายเพื่อปฏิบัติตามกฎ IUU Fishing ประเทศไทยเคยส่งออกสัตว์ทะเลคิดเป็นมูลค่า 350,000 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันประเทศไทยต้องนำเข้าสัตว์ทะเลเพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่า 150,000 ล้านบาทต่อปี

ขอให้มั่นใจว่าเรื่องประมงภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยจะให้ความสำคัญสูงสุด อะไรที่อยู่ในอำนาจ ครม. จะให้ ร.อ.ธรรมนัสเป็นหัวหน้าเชิญผู้เกี่ยวข้องมาพบปะพูดคุย และรัฐบาลจะเดินหน้าเปิดประตูการค้าด้วย ด้านปลอดประสพกล่าวว่า กฎระเบียบระดับกระทรวงกำลังถูกทบทวน โดยนายกฯ ได้สั่งนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี ได้เจรจากับเพื่อนบ้านและเจรจาอียูด้วย

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ว่า ร.อ.ธรรมนัส พร้อมช่วยเหลือเต็มที่ และคณะทำงานของพรรคเพื่อไทยนำโดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ก็พร้อมจัดตั้งคณะทำงานมาร่วมแก้ปัญหาโดยเร็ว โดยปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ทันทีก็จะทำก่อนทันที อาจจะยังไม่หมด เพราะทุกอย่างใช้เวลา

โดยเรื่องที่ทำได้ก่อนจะนำไปพิจารณาก่อน ทั้งกฎกระทรวง และมีอีกหลายอย่างต้องร่วมเจรจาการค้ากับต่างประเทศ และการติดวิทยุสื่อสารในทะเล (วิทยุมดขาว) ซึ่งถ้าอยู่ในอำนาจคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก็จะให้ยกเลิกวิทยุตัวนี้ก็ได้ เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับพี่น้องชาวประมง จากการประสบปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามถึงกฎหมายบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว มาตรา 14 ถ้าจะแก้ไขได้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ถือเป็นวาระที่เราจะต้องพูดคุยกัน เช่นเดียวกับปัญหาน่านน้ำของประเทศอินโดนีเซีย จะต้องขอดูรายละเอียดก่อน เพราะเป็นประเทศที่อยู่ในอาเซียนเหมือนกัน และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย และไม่ได้แยกการทำงาน ดังนั้น ถ้ามาร่วมกันได้ก็จะแบ่งสรรผลประโยชน์น่าจะลงตัว และจะทำให้เดินหน้ากันได้ง่ายขึ้น

เมื่อถามถึง 8-9 ปีชะงักเรื่องปัญหาประมง นายเศรษฐาระบุว่า ตนว่าเดินหน้าแก้ไขปัญหาดีกว่า อย่าไปมองปัญหาเก่า อย่าไปว่าใครเลย แก้ไขปัญหาดีกว่า

เมื่อถามถึงการแก้ไขกฎหมายลูก 13 ฉบับที่ผู้ประกอบการชาวประมงได้ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา นายเศรษฐาระบุว่า มั่นใจจะมีการแก้ไขกฎหมายใดบ้าง โดยจะฝากให้ ร.อ.ธรรมนัสรับผิดชอบเรื่องนี้

นายเศรษฐายังกล่าวถึงนโยบายขึ้นค่าแรงว่า เป็นนโยบายหลักของทุกพรรคการเมืองเช่นกันการขึ้นค่าแรง โดยนายกสมาคมประมงสมุทรสงคราม ได้บอกแล้วว่า การขึ้นค่าแรงต้องระมัดระวัง เพราะการขึ้นค่าแรงเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับทุกภาคส่วน แต่ก็มีความจำเป็นเพราะค่าครองชีพสูงขึ้น

แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการเพิ่มรายได้ ถ้าเราเพิ่มรายได้ให้กับ SMEs ได้ เราก็จะนำมาเพิ่มค่าแรงให้พี่น้องประชาชนที่มารับจ้างได้ แต่ต้องขอดูรายละเอียดตรงไหนเหมาะสมก่อน ซึ่งยืนยันว่าต้องทำทันทีอาจจะปีใหม่ แต่ต้องพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลและต้องให้เกียรติ เพราะเราทำงานเป็นพรรคร่วม

เมื่อถามว่าการทำงานหลังจากนี้ของนายกรัฐมนตรีจะร่วมลงพื้นที่กับรัฐมนตรีเพื่อไปแก้ปัญหาใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า เป็นเวลาที่จะต้องร่วมกันทำงานกับรัฐมนตรี ซึ่งตนอยากให้มองเป็นองค์รวม ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่เป็นรัฐบาลของประชาชนประกอบกันเป็นหลายพรรคการเมือง โดยตนเชื่อว่าทุกรัฐมนตรีที่ได้รับการพูดถึงทุกท่านมีความเป็นห่วง ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนทุกคน และรัฐมนตรีทุกคนก็มีความปรารถนาดีขอแค่โอกาสเท่านั้น