การบ้านอื้อ “อิ๊ง” นายกใหม่ เอกชนคาดหวังฟื้นเศรษฐกิจ เตือน “กับดัก” เงินดิจิทัล

pae
แพทองธาร ชินวัตร

ภาคธุรกิจขานรับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯคนที่ 31 ของไทย ฝากการบ้านเพียบ โดยเฉพาะโครงการเงินดิจิทัล นักการเงินเตือนระวังกับดัก แนะควรเปลี่ยนวิธีการแจกใหม่ หรือแจกเหมือนรัฐบาลบิ๊กตู่ไปเลย จะได้ไม่โดนร้อง ด้าน “ภูมิธรรม” ชี้รอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่หลังแถลงนโยบาย กรมบัญชีกลางมั่นใจเบิกจ่ายงบประมาณตามเป้า ส่วนตลาดทุนรอดูหน้าตาทีมงานก่อน หอการค้าฯ กังวลสุญญากาศ อสังหาฯหวังสานต่อแผนกระตุ้น ท่องเที่ยวเชื่อมั่นรัฐบาลใหม่เดินหน้าเต็มที่ เผยไทม์ไลน์รัฐบาลใหม่ คาดเร่งเสนอชื่อโปรดเกล้าฯ แถลงนโยบาย และเข้าบริหารประเทศแล้วเสร็จใน 20 วัน

วันที่ 16 สิงหาคม 2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ซึ่งมีขั้นตอนในการเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 คือ เป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่แจ้งไว้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มี สส.ในสภาไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือ 25 เสียง

“แพทองธาร” นายกฯอายุน้อยสุด

ทั้งนี้ นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้มีการเสนอชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 โดยมีผู้รับรอง 50 คน ครบตามจำนวน โดยไม่มีใครเสนอชื่อแข่ง จากนั้นเป็นการเข้าสู่การลงคะแนนด้วยการขานชื่อ

โดยมติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบ 319 เสียง ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ไม่เห็นชอบ 145 เสียง และงดออกเสียง 27 เสียง ส่งผลให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ถือเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยวัยเพียง 38 ปี

ได้เสียงเกิน 11 พรรคร่วม

โดยเสียงพรรคร่วมรัฐบาล 11 พรรค ขณะตอนโหวตนายกรัฐมนตรีมี 314 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 70 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคท้องที่ไทย 1 เสียง พรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง พรรคไทรวมพลัง 1 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง

คาดตั้งรัฐบาลใหม่ใน 20 วัน

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยถึงโรดแมปการตั้งรัฐบาลจากนี้ว่า ไทม์ไลน์การตั้งรัฐบาลใหม่จะเทียบเคียงกับการตั้งรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งใช้เวลาเพียง 19 วัน สำหรับขั้นตอนการตั้งรัฐบาล น.ส.แพทองธาร หลังสภาผู้แทนราษฎรมีมติเลือก น.ส.แพทองธาร เป็นนายกฯแล้ว จากนั้นสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้จัดทำเอกสารให้ประธานรัฐสภาลงนาม เพื่อกราบบังคมทูลฯ ถึงผลการเลือกนายกรัฐมนตรี

ADVERTISMENT

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ นายกฯคนที่ 31 เรียบร้อยแล้ว สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะนำหนังสือไปที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อประทับตราพระราชลัญจกร 5 ดวง และนำกลับมาที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ก่อนจะนำพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯไปยังพรรคเพื่อไทย โดยเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะอ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และนายกฯคนใหม่รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ต่อไป

จากนั้นจะเข้าสู่การตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ซึ่งกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่เกิน 20 วัน เพื่อไม่ให้ประเทศเกิดสุญญากาศทางการเมือง

ADVERTISMENT

อุ๊งอิ๊ง ตื่นเต้นลุ้นผล

ความเคลื่อนไหวของ น.ส.แพทองธาร เกาะติดความเคลื่อนไหวที่ Voice Space พร้อมกับสามี นายปิฎก สุขสวัสดิ์ น.ส.พินทองทา ชินวัตร พี่สาว นอกจากนี้ยังมีแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ได้เป็น สส. มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย อาทิ นางพวงเพ็ชร์ ชุนละเอียด อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รักษาการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา

น.ส.แพทองธารกล่าวว่า วันนี้คนที่เกร็งน่าจะเป็นสามีมากกว่า เพราะตอนแรกไม่นึกว่าจะมีนักข่าวเลย จึงรู้สึกตื่นเต้น โดยวันนี้จะติดตามสถานการณ์ที่นี่ทั้งวัน เพราะต้องมีคุยกับคนในพรรค และรู้สึกเกรงใจที่นักข่าวมากันเยอะมาก

ฝ่ายค้านคาดอยู่ครบ 3 ปี

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ขอให้กำลังใจ น.ส.แพทองธาร หากวันนี้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบก็หวังว่าจะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ส่วนจะอยู่ครบ 3 ปีหรือไม่ คิดว่าเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ครบ ในขณะที่พรรคประชาชนเองก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเต็มที่ตลอด 3 ปี

ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะต้องหารือกัน แต่ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากลัว คือ ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารถูกกินขอบเขตอำนาจตุลาการ และองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องหาทางออกร่วมกัน

ภูมิธรรมมองปมเงินดิจิทัล

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบคำถามกรณีแจกเงินดิจิทัลวอลเลตว่า ขอให้รอนายกฯและรัฐบาลใหม่ก่อน ซึ่งต้องรอ ว่ากันไปตามกระบวนการ อยากให้รอนายกรัฐมนตรีคนใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้กระบวนการต่าง ๆ ยังไม่แล้วเสร็จ อยากให้ขั้นตอนตรงนี้เสร็จก่อน

เมื่อถามว่าประชาชนที่ลงทะเบียนไปแล้วจะทำอย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวย้ำว่าให้รอรัฐบาลใหม่ก่อน ขณะนี้ยังไม่มีบวกลบอะไร ให้รอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตอนนี้ทำอะไรยังไม่ได้

เมื่อถามว่า หากยกเลิกโครงการดิจิทัลวอลเลต จะมีโครงการอื่นมาทดแทนหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่าไม่มีคำว่าถ้า ขอให้รอรัฐบาลใหม่แล้วค่อยว่ากันอีกที

ต้องหารือกับพรรคร่วมก่อน

เมื่อถามต่อว่า โครงการดิจิทัลวอลเลตเหมือนว่ายังไม่ชัดเจน นายภูมิธรรมกล่าวว่าชัดเจน แต่กระบวนการขณะนี้ต้องรอตั้งนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นก็ฟอร์มคณะรัฐมนตรี และรอขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ และต้องมาประชุมพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อทำนโยบายร่วมกันที่จะแถลงต่อรัฐสภา ในระหว่างนี้พูดถึงนโยบายอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

เมื่อถามย้ำว่าโครงการดิจิทัลวอลเลตมีแค่ 2 แนวทาง คือเดินหน้าต่อหรือยกเลิก นายภูมิธรรมกล่าวยืนยันว่ายังต้องหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในแง่ของรัฐบาลรักษาการเรายังดำเนินการต่อไป แต่ต้องรอว่ารัฐบาลใหม่จะมีแนวทางอย่างไร ด้วยมารยาทควรจะเป็นอย่างนั้น

แจกเงิน “ดิจิทัล-กาสิโน” สะดุด

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เรื่องที่เป็นนโยบายและยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. คงต้องรอไปก่อน ทั้งการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท การเสนอกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และการฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 เป็นต้น

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ช่วงนี้เรื่องที่เป็นนโยบายรัฐบาล คงต้องรอสักพัก เนื่องจากอยู่ในช่วง ครม.รักษาการ สอดคล้องกับความเห็นของนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากเป็นเรื่องนโยบาย หรือจัดซื้อจัดจ้างที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ก็คงต้องรอ

เบิกจ่ายงบฯ 67 ไม่มีปัญหา

นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ไม่มีปัญหา สามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง ซึ่งกรมบัญชีกลางเร่งเบิกจ่ายเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดเป้าหมาย ภาพรวมเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 93% รายจ่ายประจำเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 98% รายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 75% และการใช้จ่ายงบประมาณ (การก่อหนี้) รายจ่ายภาพรวม รายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุน 100%

ขณะที่ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ประมาณเดือนเศษ เพื่อเป็นการกระตุ้นหน่วยรับงบประมาณ กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือแจ้งเวียนให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งรัดการตรวจรับงานสำหรับโครงการที่ผู้รับจ้างส่งมอบงานแล้ว และเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 2567

ส่วนนายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า กระบวนการงบประมาณ ทั้งงบฯเพิ่มเติมปี 2567 และการจัดทำงบประมาณปี 2568 ไม่สะดุด เนื่องจากงบฯเพิ่มเติมปี 2567 ขณะนี้เสร็จแล้ว อยู่ระหว่างนำขึ้นทูลเกล้าฯ ขณะที่งบฯปี 2568 อยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งผ่านวาระแรกไปแล้ว อยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ เป็นกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้น ในหลักการแล้ว การเปลี่ยนแปลงในส่วนของฝ่ายบริหารไม่ส่งผลกระทบ

ตลาดทุนรอพิสูจน์ฝีมือ

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายใต้รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ต้องรอพิสูจน์ฝีมือ เพราะไม่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศ แต่ต้องดูทีมและความพร้อม รวมทั้งต้องติดตามการแถลงนโยบายต่อสภาว่าจะเป็นนโยบายใหม่ หรือนโยบายเดิมทั้งหมด หรือจะเลือกเปลี่ยนบางนโยบายออก รวมถึงตัวรัฐมนตรีใหม่จะเป็นใครบ้างก็สำคัญ เพราะรัฐมนตรีมีความสำคัญ ที่เข้าใจในบางเรื่องและอยากจะผลักดันในบางเรื่อง บางทีก็สำเร็จได้ จึงต้องติดตามกันต่อไป

“มองสุญญากาศทางการเมืองในครั้งนี้อาจจะไม่นาน คงไม่เกิน 30 วัน ซึ่งยังมีรัฐมนตรีรักษาการที่ยังมีอำนาจเต็ม ขับเคลื่อนนโยบายต่อเนื่องไปได้จนมีรัฐบาลใหม่เข้ามา แต่ก็ต้องติดตามต่อไปว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะผสมด้วยพรรคใหม่เพิ่มเข้ามา หรือมีการนำพรรคเดิมออกไปบ้างหรือไม่ และแต่ละพรรคยังได้ดูกระทรวงเดิมหรือไม่”

แนะปรับวิธีแจกเงินดิจิทัล

นายไพบูลย์เสนอว่า อยากให้มีการทบทวนนโยบายดิจิทัลวอลเลต เพราะหลายคนยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำให้เกิดพายุหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ 4-5 รอบ เป็นโอกาสให้รัฐบาลใหม่สามารถที่จะยึดแนวทางผลลัพธ์เดิม แต่อาจจะปรับวิถีทางที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์นั้น เช่น หาแนวทางคล้าย ๆ กับรัฐบาลที่แล้ว อย่างโครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งช่วยประหยัดงบประมาณไปได้ครึ่งหนึ่ง และนำงบประมาณไปทำอย่างอื่นต่อ ที่ยังสามารถสร้างผลลัพธ์ให้กับเศรษฐกิจได้ดีขึ้นกว่าเดิม

ส่วนภาพตลาดทุน ช่วงรอยต่อแบบนี้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น บรรยากาศจะกดดันให้ไม่กล้าเข้ามาลงทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยจะค่อนข้างซึม ดัชนีคงจะเคลื่อนไหวตามข่าวการเมือง จนทุกอย่างเริ่มนิ่ง นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนออกไป ทำให้ไทยอาจตกขบวน เพราะต่างชาติหันไปลงทุนประเทศอื่นแทน

แต่ข้อดีคือตลาดหุ้นไทยต่ำมากแล้ว และราคาหุ้นส่วนใหญ่ต่ำกว่าพื้นฐาน เพราะฉะนั้นเมื่อทุกอย่างนิ่ง ก็เชื่อว่าตลาดหุ้นก็พร้อมที่จะเดินหน้า เพราะปัจจัยต่างประเทศเริ่มดูดีขึ้น ทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชัดเจนว่าจะลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง ในปีนี้และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า

เสนอเบิกจ่ายงบฯลงทุนดัน ศก.

ส่วนปัจจัยในประเทศ ทั้งเรื่องท่องเที่ยว ส่งออก น่าจะช่วยเราได้พอสมควร ระหว่างนี้รัฐมนตรีรักษาการ ถ้าเร่งการเบิกจ่ายงบฯลงทุนกว่า 4 แสนล้านบาท อย่างน้อยทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเชื่อเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2-3 ปีนี้ เริ่มมีท่าทีที่ดีขึ้นกว่าไตรมาส 1 โดยเริ่มโงหัวขึ้น ก็เชื่อว่าหุ้นไทยยังมีอัพไซด์อยู่พอสมควร ก็เป็นโอกาสให้ต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนได้

หอการค้าเร่งตั้ง รบ.โดยเร็ว

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลายฝ่ายมีความกังวลเกี่ยวกับสุญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ สิ่งที่หอการค้าเน้นย้ำ คือ 1.ควรมีการเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และคัดสรรรัฐมนตรีที่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของประชาชน 2.เร่งขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และเร่งรัดการใช้งบประมาณปี’67

สมาคมคอนโดฯหวังช่วยกระตุ้น

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า นโยบายและแนวทางดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติในระยะยาว ต้องทำมาตรการสำคัญ 3 เรื่อง คือ 1.ในเรื่องสิทธิการเช่า เพื่อจัดระเบียบคนต่างชาติในการอยู่อาศัยในประเทศไทย การถือครองอสังหาฯในประเทศไทยผ่านการเช่าเท่านั้น

2.การขยายโควตาซื้อคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติ จาก 49% เป็น 75% ก็เป็นเรื่องที่ดีต่อประเทศ และ 3.จัดเก็บภาษีอสังหาฯจากคนต่างชาติเพื่อมาดูแลพี่น้องประชาชนคนไทย ในกลุ่มที่ยังเข้าถึงการมีบ้านไม่ได้ในวันนี้ โมเดลคือจัดเก็บภาษีอสังหาฯ จากลูกค้าชาวต่างชาติได้ปีละ 10,000 ล้านบาท นำมาช่วยให้คนไทยที่ซื้อบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท อาจจะได้รับอัตราดอกเบี้ยซื้อบ้านในราคาถูกทุกปี มีมูลค่าการเข้าถึงอสังหาฯ มูลค่าแสนล้านบาททุกปี

ท่องเที่ยวมั่นใจรัฐบาลใหม่

นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า เอกชนท่องเที่ยวยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะเดินหน้าขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของประเทศต่อไป เพราะท่องเที่ยวยังคงเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมได้อย่างมีศักยภาพ

“อยากนำเสนอรัฐบาลให้ความสนใจและให้น้ำหนักการสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวให้มากกว่าเดิมด้วย โดยเฉพาะการเพิ่มโฟกัสตลาดเป้าหมายเพื่อดึงนักท่องเที่ยวตลาดกำลังซื้อสูง และเร่งสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มซัพพลายไซด์โดยเร็วด้วย”

SMEs ลุ้นแก้ปัญหาหนี้

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมองว่าเป็นเรื่องที่ดีในความต่อเนื่อง ขณะที่ยังมีปัญหามากมายที่รอการแก้ไข ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การกระจายรายได้ ปัญหาต้นทุนและค่าครองชีพพุ่ง แก้หนี้ครัวเรือนทั้งระบบ การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุนเอสเอ็มอี ยกระดับขีดความสามารถเอสเอ็มอีและภาคแรงงานเพิ่มผลิตภาพอย่างเป็นระบบให้แข่งขันได้ การแก้ไขกฎหมายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคของผู้ประกอบการ ปัญหาการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ทุนข้ามชาติทุบเศรษฐกิจไทย

หอฯสงขลากังวลเงินดิจิทัล

นายทรงพล จังศิริวัฒนธำรง ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ขาดเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทย มีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติที่รัฐบาลผลักดันให้มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทำให้อีกฝ่ายขาดความเชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินตามสัญญาที่ตกลงกันได้หรือไม่ และชะลอการตัดสินใจ

ขณะเดียวกัน เพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ก็เร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ฉะนั้น นักลงทุนจึงมีตัวเลือกเพื่อเปรียบเทียบและตัดสินใจว่าประเทศไหนมีเสถียรภาพและสิทธิประโยชน์จูงใจมากกว่า

สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเลต มองว่ายังมีความไม่แน่นอน ซึ่งถ้านโยบายนี้ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ เงินในส่วนนี้จะสามารถนำไปใช้กับโยบายอื่นเพื่อกระจายเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้หรือไม่ แต่เชื่อว่าถ้าไม่มีเม็ดเงินมากระตุ้น เศรษฐกิจจะซึม ต้องหาแรงกระตุ้นให้ SMEs กล้าจับจ่ายใช้สอย หรือกระตุ้นให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเพื่อต่อยอดธุรกิจ