
คอลัมน์ : Politics policy people forum
1 กุมภาพันธ์ 2568 จะเป็นวันชี้ชะตาศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 47 จังหวัด
เก้าอี้นายก อบจ.ถูกยกระดับความสำคัญ ต่อยอดไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570 จึงเห็นบิ๊กเนมอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี สวมบทผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ลงทุนเดินสายเหนือ-อีสาน เพื่อช่วยผู้สมัครพรรคเพื่อไทย
ไม่ต่างกับพรรคประชาชน ที่มีเหล่าผู้นำจิตวิญญาณตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล ทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ปิยบุตร แสงกนกกุล ชัยธวัช ตุลาธน และอีกมาก แบ่งสายช่วยผู้สมัครพรรคประชาชนทุกภาค
เมื่อเลือกตั้งนายก อบจ.รอบนี้มีความสำคัญ จึงต้องสนทนากับผู้ที่คร่ำหวอดการเมือง 4 ขั้ว 4 ภาค
ประกอบด้วย “ชำนาญ จันทร์เรือง” กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ผู้เฝ้าฐานการเมืองเชียงใหม่ของพรรคสีส้ม “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย เกาะติด “ทักษิณ” แทบทุกเวทีปราศรัย “สาธิต ปิตุเตชะ” อดีต รมช.สาธารณสุข บ้านใหญ่การเมืองภาคตะวันออก และ “รงค์ บุญสวยขวัญ” อดีต สส.พลังประชารัฐ นครศรีธรรมราช
เชียงใหม่อย่าประมาทส้ม
“ชำนาญ” วิเคราะห์ภาคเหนือ ว่างานนี้สนุก ภาคเหนือไม่เหมือนทางภาคอื่น ไม่มีบ้านใหญ่ที่ผูกกันอมตะมหานิรันดร์กาล โดยเฉพาะสนามเลือกตั้ง นายก อบจ.เชียงใหม่ที่หลายฝ่ายจับตา ไม่ได้สู้กันอยู่แค่ 2 คน (พิชัย เลิศพงศ์อดิศร สมาชิกพรรคเพื่อไทย กับ พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้สมัครของพรรคประชาชน) แต่ยังมีคนที่ 3 คือ พลตรีพนม ศรีเผือด อดีต กอ.รมน. จังหวัดเชียงใหม่ ผมว่าสูสี แต่ถามว่าใครชนะยังเดายากอยู่
“แต่อย่าประมาทสีส้ม (พรรคประชาชน) และ อบจ.ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ว่าสีส้มสะกดคำว่าชนะไม่เป็น อย่างน้อยก็มีโอกาส”
อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนหวังว่าอย่างน้อยในการเลือกตั้งนายก อบจ.จะได้ 1 ที่นั่ง ที่ จ.นครนายก เพราะผู้สมัครคือคนที่เป็นอดีตนายก อบจ.จักรพันธ์ จินตนาพากานนท์
ขณะที่ “พร้อมพงศ์” จากพรรคเพื่อไทย ที่ลงพื้นที่ตาม “ทักษิณ” ไปหาเสียงที่ จ.เชียงใหม่ ด้วยนั้น ช่วยวิเคราะห์ว่า เท่าที่ลงพื้นที่ คนภาคเหนือยังรักพรรคเพื่อไทย และผู้สมัคร นายก อบจ.มีแสงในตนเอง เป็นอดีตนายก อบจ.ในสมัยที่แล้ว อย่าง จ.แพร่ จ.ลำพูน จ.เชียงใหม่ ผลงานที่เขาทำมา 4 ปี หรือมากกว่านั้น
คิดว่าผู้สมัครนายก อบจ.พรรคเพื่อไทย ยังได้รับความไว้วางใจจากประชาชน และการที่คุณทักษิณลงพื้นที่ทำให้ประชาชนตื่นตัว
อีสาน ผู้สมัครเพื่อไทยมีแสง
ส่วนสนาม อบจ.ภาคอีสาน “พร้อมพงศ์” ประเมินว่าเข้มข้น แต่ภาคอีสาน 20 จังหวัด คนอีสานไม่เคยทิ้งเพื่อไทย การเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 แม้จะได้ สส.น้อยลง แต่ก็ยังได้ที่ 1 เพราะคนอีสานเชื่อว่าประชาธิปไตยกินได้ เกิดขึ้นในยุครัฐบาลไทยรักไทย ถ้าเลือกตั้งตอนนี้ในสนามใหญ่ คนก็ยังเลือกพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับเลือก นายก อบจ.ก็จะเลือกพรรคเพื่อไทย
พร้อมพงศ์บอกว่าการแข่งขันนายก อบจ.ในภาคอีสานที่ยากที่สุด คือสนามเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี ที่เลือกไปช่วงปลายปี 2567 เพราะเป็นการแข่งกันเองระหว่าง กานต์ กัลป์ตินันท์ ผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทย กับ จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล โดยมีคนของพรรคประชาชนไปแทรกเพื่อตัดคะแนน แต่คนของพรรคเพื่อไทยก็ชนะมาได้
จังหวัดที่เหลือก็ยาก แต่ผู้สมัคร นายก อบจ.พรรคเพื่อไทยมีแสง ใกล้ชิดประชาชน ทำโซเชียลมีเดียดี ส่วนคู่แข่งอย่างเครือข่ายสีน้ำเงิน (เครือข่ายพรรคภูมิใจไทย) ประชาชนต้องเลือกว่า เมื่อมีสินค้า 2 ตัว เลือกตัวไหน ชั่งน้ำหนักกัน
“ชำนาญ” แย้งขึ้นว่า ไม่รู้นะ…ถ้าจังหวัดไหนในอีสานแข่งกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปสีส้ม (ผู้สมัครพรรคประชาชน) ก็มีโอกาส
ปัจจัยชนะสนามตะวันออก
ด้าน “สาธิต” ประเมินสนามภาคตะวันออกว่า ณ ตอนนี้พรรคส้ม (พรรคประชาชน) เป็นรอง แต่ประมาทไม่ได้ 7 วันสุดท้ายนี่แหละ ใครจะสื่อสารถึงประชาชนได้ และประชาชนจะเชื่อใคร
เพราะผมให้น้ำหนักด้านการสื่อสาร ผลแพ้ชนะ สนาม อบจ.คือใครสื่อสารนำสิ่งที่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจเลือกไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงก็จะชนะ ต้องยอมรับว่าประชาชนคนไทยเดี๋ยวนี้ฉลาดขึ้น มีข้อมูลของตัวเอง เชื่อข้อมูลที่มีอยู่ ใครก็ตามที่สื่อสารไปหากลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า สมมุติผู้สมัคร 2 ฝ่าย อาจไม่มีดีที่สุด 100% แต่โหวตเตอร์ก็จะเลือกคนที่ดีที่สุดสำหรับเขา
แต่คนสื่อสารเก่ง ถ้าตัวจริงไม่เก่งภาพก็จะฟ้อง แต่ถ้าเขาทำจริง เป็นคนดีจริง สื่อสารไปถึงโหวตเตอร์ ก็จะเข้มแข็งและมี Impact มากกว่า ผมคิดว่าภาคตะวันออกสู้กันเรื่องนี้ ถ้าใครทำได้ก็มีโอกาสชนะ ดังนั้น แม้พรรคประชาชนจะชนะเลือกตั้ง สส.ในพื้นที่ภาคตะวันออกในหลายจังหวัด แต่ถ้าคู่แข่งทำปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาได้ โอกาสชนะพรรคประชาชนก็จะมี
ภาคใต้คนหนี ปชป.
“รงค์” ชี้ว่า สมรภูมิในภาคใต้อยู่ในจุดที่สายลมกำลังเปลี่ยนแปลงมาแรง แต่จะเปลี่ยนไปทางไหน..เรื่องใหญ่
เขาวิเคราะห์คู่ต่อสู้ใน 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือ “กลุ่ม” กับ “พรรค” ซึ่งพรรคที่ประกาศชัดเจนคือพรรคประชาชน กับ กลุ่ม ก็จะเป็นกลุ่มสายอนุรักษ์ ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม แต่ที่สำคัญคือกลุ่มสายอนุรักษ์หนีจากพรรคเดิม เช่น หนีการลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต
อีกส่วนหนึ่งคือ การต่อสู้ระหว่างกลุ่มกับกลุ่ม ผสมปนเปไปหมด เดี๋ยวสีน้ำเงินมีสีฟ้ามาปน มีสีแดงมาแซมก็มี จับกันหลายกลุ่มผสมสีกัน
เช่น พัทลุง วิสุทธิ์ ธรรมเพชร ผู้สมัครเป็นรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ลูกชาย (นิติศักดิ์ ธรรมเพชร) เป็น สส.รวมไทยสร้างชาติ ส่วนหลานสาวสุพัชรี ธรรมเพชร เป็น สส.ประชาธิปัตย์ คู่แข่งอีกกลุ่มหนึ่ง สาโรจน์ สามารถ ในอดีตก็เป็นเลขาฯ ของผู้หลักผู้ใหญ่ในประชาธิปัตย์ แต่ไปสวมเสื้อสีน้ำเงิน
สงขลา ตัวเต็งไม่กล้าใส่สีฟ้า ไม่กล้าโยง และออกมาแตะกันเต็มไปหมด สีเบลอ ๆ แต่ไปชี้กันที่กลยุทธ์ในสัปดาห์สุดท้ายที่ Ground War ต้องเดินกันหนัก ทั้งเวทีปราศรัย และต้องสัมพันธ์กับ Air War ในโซเชียลมีเดีย แต่ Underground War น่ากลัว
กลุ่มที่จะชนะเลือกตั้ง “รงค์” บอกว่ามีแนวโน้มที่ไปทางน้ำเงิน เพราะกลุ่มนี้ทั้งหมดใช้คำว่า “เราไม่ซื้อเสียง” มาแรง พร้อมเป็นมิติที่ดี จะส่งผลการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ ไป แต่ข้อเท็จจริงว่ากันก็แล้วกัน
ขณะที่ “พร้อมพงศ์” พูดในฐานะคนใต้ว่า การเมืองในภาคใต้ สายลมการเปลี่ยนแปลงสูง วันนี้คนที่จะชนะน่าจะเป็น “กลุ่ม” คนดี มีแสงไหม เข้าถึงประชาชนไหม นโยบายดีไหม สุดท้ายที่ชนะคือ สื่อสารดี เครือข่ายดี แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช้โลโก้พรรค หลบสีกัน