
เปิดร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ในการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งคณะพิเศษขึ้นมาพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยเริ่มรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่ 15 ก.พ.-1 มี.ค.นี้ กำหนดสัดส่วนกาสิโนไม่เกิน 10% ผู้ขออนุญาตต้องมีทุนจดทะเบียน 1 หมื่นล้านขึ้นไป ขอใบอนุญาตครั้งแรก 5 พันล้าน จากนั้นจ่ายปีละ 1 พันล้าน ส่วนคนไทยเข้าเล่นต้องอายุเกิน 20 ปี เสียค่าเข้า 5 พันบาท และมีเงินฝากในบัญชีขั้นต่ำ 50 ล้านบาท ชี้เป็นข้อเสนอเบื้องต้น ยังต้องรอฟังความคิดเห็นอีกครั้ง
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร หรือร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ขณะนี้อยู่ในการปรับปรุงร่างกฎหมายโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดรับฟังความคิดเห็นในร่างที่ 1
ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังนำร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเมื่อ 13 มกราคม 2568
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไปปรับแก้เพิ่มเติม หลังร่างกฎหมายที่ร่างโดยกระทรวงการคลังยังไม่ได้สัดส่วนของสถานบันเทิงครบวงจร โดยเน้นไปที่กาสิโนมากเกินไป โดย ครม.ให้กำหนดเวลาคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษขึ้นมาพิจารณาในเรื่องนี้ โดยมีนายวิษณุ เครืองาม และนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา เป็นหัวหน้าทีมคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ
“กาสิโน” ไม่เกินร้อยละ 10
รายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. … ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาเปิดให้รับฟังความคิดเห็น ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์-1 มีนาคม. 2568
สาระสำคัญ อาทิ มาตรา 18 (6) กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร ทั้งนี้ ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของที่ดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร ในกรณีที่กาสิโนตั้งอยู่ในอาคารใดให้นับจากพื้นที่อาคารนั้นทั้งหมด หลังจากร่างเดิมของกระทรวงการคลังไม่ได้บัญญัติไว้
มาตรา 46 ในการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ต้องกำหนดให้มีใบอนุญาต ตามจำนวนกิจการหรือธุรกิจในสถานบันเทิง ตามที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้อย่างน้อย 4 ประเภท ร่วมกับกาสิโน
ผู้ขอต้องจดทะเบียน 1 หมื่นล้าน
โดยในบัญชีแนบท้ายกฎหมายกำหนดประเภทธุรกิจสถานบันเทิง 1.ห้างสรรพสินค้า 2.โรงแรม 3.สถานบริการ 4.สนามกีฬา 5.ยอชต์และครุยซิ่งคลับ 6.สถานที่เล่นเกม 7.สระว่ายน้ำและสวนน้ำ 8.สวนสนุก 9.พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP 10.กิจการอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด
มาตรา 47 สถานบันเทิงครบวงจรต้องตั้งอยู่ในบริเวณเขตพื้นที่ตามที่กำหนดเท่านั้น โดยต้องประกอบด้วยธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้อย่างน้อย 4 ประเภท ร่วมกับกาสิโน ทั้งนี้ สัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจรให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด แต่ต้องไม่เกินที่กำหนดในมาตรา 18 (6) (ร้อยละ 10)
ผู้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรจะต้องเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย มีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท และได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการนโยบาย
ใบอนุญาต 30 ปี-5 พันล้าน
มาตรา 56 ใบอนุญาตมีอายุ 30 ปีนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาต โดยผู้รับใบอนุญาตจะต้องชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมรายปี ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด แต่ต้องไม่เกินอัตราตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัติ
ทุก 5 ปีนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาต ให้สำนักงานประเมินประสิทธิภาพของการดำเนินงานตามรูปแบบ และแผนการประกอบการสถานบันเทิงครบวงจรของผู้รับใบอนุญาต และรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายเพื่ออาจพิจารณาทบทวนรูปแบบและแผนการประกอบการสถานบันเทิงครบวงจร
เมื่อใบอนุญาตครบอายุ ให้คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตได้คราวละไม่เกิน 10 ปี ทั้งนี้ การขอต่ออายุใบอนุญาตและอัตราค่าธรรมเนียมให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด
ใบบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ ระบุอัตราค่าธรรมเนียม ดังนี้ 1.การขอรับใบอนุญาต ครั้งละ 100,000 บาท 2.ใบอนุญาตครั้งแรก ฉบับละ 5,000 ล้านบาท รายปี ปีละ 1,000 ล้านบาท 3.ใบอนุญาต (ต่ออายุ) ฉบับละ 5,000 ล้านบาท รายปี ปีละ 1,000 ล้านบาท
ให้กาสิโนแยกเป็นเอกเทศ
ขณะที่การควบคุมการตั้งกาสิโน ระบุไว้ใน มาตรา 63 ผู้รับใบอนุญาตจะต้องดำเนินการ จัดให้มีเขตบริเวณของกาสิโนซึ่งแยกเป็นเอกเทศจากสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงอื่น โดยมีเขตรั้วและประตูทางเข้าแยกจากสถานประกอบธุรกิจอื่น เว้นแต่เป็นธุรกิจที่อยู่ในกาสิโนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าเล่นพนัน
มีการควบคุมการเข้าออกโดยมีการตรวจสอบและลงทะเบียนหนังสือเดินทางหรือบัตรประชาชนหรือเอกสารระบุตัวตนอื่น พร้อมทั้งภาพถ่ายใบหน้า
คนไทยต้องมีเงินฝาก 50 ล้าน
มาตรา 64 ห้ามผู้มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ เข้าเล่นกาสิโน ส่วนมาตรา 65 ระบุว่า ผู้มี “สัญชาติไทย” ซึ่งจะเข้าไปในกาสิโนต้องลงทะเบียน และชำระค่าธรรมเนียมตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด คือ 5,000 บาทต่อครั้ง
และมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน
มาตรา 66 ผู้รับใบอนุญาตต้องควบคุมไม่ให้ผู้เข้าไปหรืออยู่ในกาสิโนกระทำการหรือมีพฤติการณ์ นำอาวุธเข้าไปในสถานกาสิโนโดยไม่ได้รับอนุญาต, เข้าติดต่อ ชักชวน แนะนำตัว ติดตาม หรือรบเร้าบุคคลอื่น หรือกระทำการอื่นใดเพื่อการค้าประเวณีอันเป็นการเปิดเผยและน่าอับอายหรือเป็นที่เดือดร้อนรำคาญ, มีอาการมึนเมาจนประพฤติวุ่นวายหรือครองสติไม่ได้, มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
กฤษฎีกาชี้ไม่อยากเน้นพนัน
นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับถ้อยคำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรว่า การพิจารณาขณะนี้อยู่ในวาระที่ 2 ส่วนร่างที่เสร็จไปเบื้องต้นนั้น พิจารณาในหลักการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในช่วงการรับฟังความคิดเห็นทั่วไป ซึ่งสามารถแสดงความคิดเห็นกันได้ และเราจะเอาไปประกอบการพิจารณาในวาระที่ 2 ต่อไป
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกามีการวางหลักว่า คนไทยที่จะเข้าไปเล่นจะต้องมีเงิน 50 ล้านบาท ถือเป็นการป้องกันใช่หรือไม่ นายปกรณ์กล่าวว่า ตรงนี้เป็นไอเดียเบื้องต้น ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งเป็นตัวเลือกเบื้องต้นเท่านั้น
“จริง ๆ เราไม่อยากให้ประชาชนเข้าไปหมกมุ่นในเรื่องนี้อยู่แล้ว เราไม่ได้เอาเรื่องพนันเป็นหลัก เพราะสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น คิดว่าถ้าเราใส่ตรงนั้นแน่น ๆ อาจจะเป็นการป้องกันไม่ให้คนไทยเข้าไปเล่น หรือถูกมอมเมาต่าง ๆ ได้ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นไม่ได้เน้นเรื่องการพนันเท่าไหร่” นายปกรณ์กล่าว
ฟังความเห็นก่อนปรับปรุง
เมื่อถามว่า ขั้นตอนที่เปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น หากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย รัฐบาลจะเดินหน้าต่อหรือไม่ นายปกรณ์กล่าวว่า การรับฟังความคิดเห็นในหลักการมี 2 เรื่องที่คล้าย ๆ กันอยู่ คือ การรับฟังความคิดเห็นและการทำประชามติ
ซึ่งการรับฟังความคิดเห็นเป็นการนำไปประกอบการพิจารณาของฝ่ายนโยบายว่าเมื่อรับฟังความคิดเห็นแล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ต่างจากการทำประชามติ ซึ่งประชามติเมื่อมีความคิดเห็นอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น ต้องแยกกันให้ออก อย่าเอาไปปนกัน ตอนนี้สังคมเอาไปปนกันหมดเลย ทั้งเรื่องการรับฟังความคิดเห็นและการทำประชามติ
เมื่อถามว่า หากคณะกรรมการกฤษฎีการับฟังความคิดเห็นแล้วประชาชนไม่เห็นด้วย แต่รัฐบาลยังเดินหน้าได้ใช่หรือไม่ นายปกรณ์กล่าวว่า แล้วแต่รัฐบาลและสภาจะพิจารณาอย่างไร และจะแก้อย่างไรตามที่เห็นสมควร