แพทองธาร Trust Thailand เปิดแผนลงทุนอนาคต ดูดเม็ดเงินล้านล้าน

แพทองธาร Matichon Leadership Forum 2025 Trust Thailand
คอลัมน์ : Politics policy people forum

ในปี 2568 ประเทศไทยเผชิญศึก 2 ด้าน แต่ผูกโยงเป็นเรื่องเดียวกัน

ปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคืองภายในประเทศ-คนไทยไม่มีกำลังซื้อ ภาคอุตสาหกรรมยุค 2.0 และ 3.0 ที่เคยเป็นตัวชูโรงให้กับไทยในอดีต แต่วันนี้โลกเปลี่ยนเข้าสู่ยุค AI โดยสมบูรณ์ โลกทั้งโลกแข่งกันที่เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาล ต้องเร่งสะสาง เร่งพัฒนา โดยเฉพาะเมื่ออายุของรัฐบาลเหลือเพียงแค่ 2 ปีเศษก็จะถึงการเลือกตั้ง

คู่ขนานด้วยปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ที่ไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าระหว่างขั้วอำนาจ

รัฐบาลจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” รวมคำกล่าวของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี บนเวที “Matichon Leadership Forum 2025 Trust Thailand : เชื่อมั่นประเทศไทย” สรุปดังนี้

ดึงความเชื่อมั่น-ฟื้นจีดีพี

เริ่มจากการที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงตัวเลขจีดีพีประเทศไทยในปี 2567 อยู่ที่ 2.5% จากนั้นมีการนำตัวเลขจีดีพีไทยไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ไทยอยู่อันดับที่ 2 จากท้าย มีแค่เมียนมาที่จีดีพีต่ำกว่าไทย นายกฯแพทองธารกล่าวเรื่องนี้ว่า ตลอดปีที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญปัญหาความท้าทายต่าง ๆ มากมาย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่ยังไม่ค่อยดีนัก เงินในระบบไม่พอ ยังมีความฝืดเคืองอยู่มาก แต่ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทำให้เราได้เห็นสัญญาณอันดีมาก ๆ จีดีพีของปี’67 ขยายตัวขึ้น 2.5 เปอร์เซ็นต์ เร่งจากการขยายตัวเดิมที่วางไว้คือ 2% ตั้งแต่ปี’66

เห็นได้ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการกระตุ้นให้ประชาชนมีการใช้จ่ายเกิดขึ้น ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัว และที่สำคัญตัวเลขของนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์

ADVERTISMENT

สำหรับในปี’68 ตั้งเป้าหมายให้จีดีพีเติบโตขึ้นที่ 3% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายของประชาชนที่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐก็มีส่วนในการช่วยผลักดันให้เกิดการลงทุนให้เร็วที่สุด เช่น การสร้างสะพาน การลงทุนก่อสร้างต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดการจ้างงาน เงินในระบบก็จะเกิดการหมุนเวียนมากขึ้น เพราะฉะนั้น ต้องเร่งในเรื่องของการลงทุนของภาครัฐด้วย

นายกฯ ชี้แจงประเด็นที่มีการนำตัวเลขจีดีพีไทยไปเทียบกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นนั้น ไม่ได้มีการดูรายละเอียดในเรื่องของปัจจัยภายในและภายนอกประกอบกัน

ADVERTISMENT

เช่น เรายังไม่ได้พัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศมายาวนานแล้ว ทั้งที่ประเทศในอาเซียนมีการพัฒนาอย่างมาก

มาเลเซียมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างต่อเนื่องมายาวนาน ของเรา 10 กว่าปีไม่มีในเรื่องนี้ ประเทศเวียดนามมีการพัฒนาคนในเรื่องของสกิล เรื่องการเขียนซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ส่วนไทยยังไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มระบบ

SMEs ขาดสภาพคล่อง เนื่องจากธนาคารยังปล่อยกู้ไม่มากพอ ไม่สามารถกู้เงินมาพัฒนาธุรกิจ จึงเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ไม่สามารถขยายตัวได้มากนัก ต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วน

“ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาการลดดอกเบี้ย เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพราะเงินเฟ้อยังน้อยอยู่”

ดึงจุดแข็งประเทศ

แพทองธารชี้ปัญหาหนึ่งของไทย คือ การยังไม่มีการทำการตลาด จึงต้องดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อดึงจุดแข็งของประเทศไทย ในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ มีตัวเลขของบีโอไอ มียอดการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 35% หรือประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท เป็นเม็ดเงินมากกว่า 5% ของจีดีพี พร้อมเร่งให้เม็ดเงินเหล่านี้เข้าสู่ระบบ เป็นสิ่งที่ขยับแล้วและเห็นผล

การลงทุนในอนาคต

ดังนั้น รัฐบาลเตรียมแผนการลงทุนในอนาคต โดยวางแผนให้ไทยเป็น “ฮับ” แห่งภูมิภาคในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลปัญญาประดิษฐ์ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เป็นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลต่อไปในอนาคต

บริษัทที่จะมาประดิษฐ์รถอีวีสามารถมาวางรากฐานการผลิตที่ประเทศไทยได้ แม้ตอนนี้จะมีโรงงานของหลายประเทศเริ่มทยอยเข้ามาแล้ว เราจะต้องปรับเปลี่ยนเรื่องของธุรกิจเป็นอีวีมากขึ้น

“โดยเราจะต้องดูในเรื่องของพลังงานสีเขียวควบคู่ไปด้วย เพราะธุรกิจแห่งอนาคตก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องใช้พลังงานอย่างมาก ฉะนั้น พลังงานสีเขียวจะทำให้ทั่วโลกเล็งเห็นด้วยว่าเรากำลังจะก้าวต่อไปกับอุตสาหกรรมในอนาคต”

“ปี 2567 ไทยได้รับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลสูงเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะ Data Center, Cloud Service จากบริษัทชั้นนำ ทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย รวมเงินลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท”

ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนก็เพิ่งอนุมัติการลงทุนของ TikTok, NVIDIA รวมถึง Cloud Partner กว่า 1.3 แสนล้านบาท เราจะต้องทำให้ประเทศไทยมีความเชื่อมั่นต่อไปในเรื่องนี้

รถไฟความเร็วสูง-แลนด์บริดจ์

ส่วนเรื่องการอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ “แพทองธาร” ฉายภาพโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อไทย ลาว จีน เชื่อมโยงกรุงเทพฯ กับหนองคาย เมื่อรถไฟเส้นนี้เสร็จจะช่วยให้ลดระยะเวลาในการขนส่งได้อย่างมาก ลดต้นทุนการขนส่งสินค้า ผู้ประกอบการก็มีโอกาสที่จะทำกำไรได้เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น มีอาชีพใหม่เพิ่มขึ้น ประชาชนจะมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่โปรเจ็กต์ยักษ์ รัฐบาลยังมีการผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ฝั่งอ่าวไทยและอันดามันต่อไป เพื่อจุดประสงค์คือการลดระยะเวลาในการขนส่งสินค้า ประหยัดต้นทุนได้ถึง 15%

“ได้ไปเยือนประเทศจีนมา รัฐบาลจีนก็บอกว่าสนับสนุน พร้อมทั้งขอข้อมูลเพิ่มเติม และยังสนใจการลงทุนด้วย โดยเราจะต้องทำงานต่อในกรุ๊ปเล็ก ๆ”

เร่งเซ็น FTA-หนุนวิจัย

เราก็ยังให้ความสำคัญในการที่คนไทยจะไปลงทุนต่างประเทศด้วย โดยเราได้ทำเอฟทีเอ ซึ่งมีการทำเอฟทีเอฉบับแรกของไทยกับยุโรปไปแล้ว แม้จะไม่ทุกประเทศในยุโรป แต่ก็มี 4 ประเทศแล้ว และในอนาคตก็หวังว่าจะได้ทำเอฟทีเอกับทุกประเทศในยุโรป เพื่อเปิดช่องทางให้การลงทุนของประเทศไทยเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกมากยิ่งขึ้น

อีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญคือ การผ่านทางสินค้าการเกษตรให้มีมูลค่าสูง รัฐบาลได้เน้นย้ำไป R&D ที่การทำวิจัยต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการผลิต การแปรรูป และการบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้สินค้าสามารถอยู่ได้นานขึ้น มีคุณภาพที่สูงขึ้น ตามความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

แก้หนี้ครัวเรือน

อีกส่วนที่รัฐบาลต้องทำเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง ให้คน “มีกำลังซื้อ” คือนโยบายที่รัฐบาลจะทำ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนให้ประชาชน ผ่านโครงการคุณสู้ เราช่วย ที่จะมุ่งช่วยเหลือในเรื่องของหนี้สินเชื่อบ้าน ธุรกิจ SMEs ขนาดเล็ก โดยตัวเลขในการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนและผู้ประกอบการขนาดย่อมตั้งแต่ยุคนายเศรษฐา ทวีสิน มีการยกหนี้รายย่อยไปแล้วประมาณ 8.3 แสนบัญชี

ซึ่งทำให้ลูกหนี้รายย่อยเหล่านี้หลุดออกจากเครดิตบูโร สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีกครั้ง จนมาถึงรัฐบาลสมัยของดิฉัน สานต่อในนโยบายเหล่านี้ เพราะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะตอนนี้มีลูกหนี้ที่ค้างอยู่กว่า 2.6 แสนบัญชี โดยจะทำให้จบภายในวันที่ 15 มีนาคมนี้

ยังขอให้กระทรวงการคลังหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อทำให้โครงการคุณสู้ เราช่วยครอบคลุมในกลุ่มลูกหนี้ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน และคิดว่ามาตรการต่าง ๆ ที่จะออกมานั้น จะออกมาในช่วงของปลายเดือนมีนาคมนี้