“หนังสือที่เปิดตลอดเวลา” ถอด DNA ‘เนวิน’ ผ่าน ‘ไชยชนก ชิดชอบ’

‘ไชยชนก ชิดชอบ’ อดีตหนุ่มนักเรียนอังกฤษ ลูกชายเพียงคนเดียว ‘เนวิน ชิดชอบ’ ผู้นำจิตวิญญาณค่ายการเมืองพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่เข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติ มาเป็น สส.ในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนหน้านี้ผ่านงานบริหารกิจการฟุตบอล สนามแข่งรถ อีสปอร์ต ก่อนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง เลขาธิการพรรค ภท.

ตอนนี้สายเลือด DND ครูใหญ่ค่ายการเมืองสีน้ำเงิน ต้องรับหน้าที่อันหนักอึ้ง ท่ามกลางเกมการเมืองดุเดือด เล่นบทตบจูบกับพรรคแกนนำรัฐบาลอยู่บ่อยๆ จึงน่าจับตาอนาคตภูมิใจไทย และบทบาทสไตล์การเมือง นก-ไชยชนก ต่อจากนี้

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับทายาทการเมือง รุ่น 3 บ้านชิดชอบ แบบหมดเปลือกถึงมุมมองความคิด การเมือง การใช้ชีวิตและการเติบโตขึ้นมาในฐานะลูกชายคนโต ลุงเนวิน

เรียนรู้ เนวินจาก DNA ชิดชอบ

ลูกชายคนโตผู้นำจิตวิญญาณค่ายการเมืองสีน้ำเงิน และชาวบุรีรัมย์ เผยถึงที่มาชื่อ “ไชยชนก” แปลว่า “เก่งกว่าพ่อ” เป็นชื่อที่คุณพ่อตั้งให้ รวมถึงน้องๆ อีก 3 คน คือ ชิดชนก ชนน์ชนก โชติชนก ส่วนความหมายที่แปลว่า เก่งกว่าพ่อ ส่วนตัวคิดว่าเพราะเป็นลูกชายคนโตและลูกคนแรก จึงเป็นเรื่องพ่อคาดหวังพอสมควร

จากนั้น นก พูดติดตลกว่า แต่พ่อผมก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน (พร้อมหัวเราะ) และอธิบายต่อ ตนมองพ่อเป็นคนเก่ง จึงนับถือเป็นฮีโร่คนหนึ่งมาตลอด เพราะหลายเรื่องตั้งแต่เด็กจนโตตน สิ่งที่เห็นในความสามารถพ่อ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมือง แต่พ่อเป็นคนที่เก่งมากในหลายๆมิติ

เมื่อถูกยิงคำถาม “ตั้งแต่เด็ก มองผู้ชายชื่อ เนวิน อย่างไร” ทายาทรุ่น 3 ตระกูลชิดชอบ ตอบทันที พ่อเป็นคนใจดีมากๆ สำหรับคนอื่น แต่กับลูกดุพอสมควร มีความจริงจังเข้มงวด เท่าที่จำความได้ตลอดชีวิตด้วยความพ่อบุคลิกเข้มๆ แทบไม่เคยได้ยินคำชมตรงๆ ออกจากปากพ่อที่ชื่อเนวิน เต็มที่แค่ “ดีมาก” “เออ..โอเค” แต่การรับรู้ถึงคำชมต่างๆของพ่อ ส่วนใหญ่มักทราบจากคนอื่น ที่พ่อมักไปชื่นชมให้ฟังอยู่บ่อยๆ

ADVERTISMENT

สำหรับสไตล์การสอนลูก ไชยชนก มองว่า พ่อเปรียบเสมือน “หนังสือที่เปิดตลอดเวลา” เพราะมักสอนจากการกระทำหรือใช้ชีวิต หากใครมีเวลามานั่งอ่านนั่งสังเกต หนังสือสิ่งที่ชื่อเนวิน ที่ให้ความสำคัญและทุ่มเทเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคmทุกเรื่องเพื่อไปถึงเป้าหมาย จะได้บทเรียนอะไรเยอะ

พร้อมยกตัวอย่าง การทำสนามฟุตบอลช้างอารีนา หรือสนามแข่งรถ ช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ จนได้มาตรฐานระดับโลก พ่อควบคุมงานก่อสร้างตั้งแต่เริ่มวันแรกและไปดูเกือบทุกวัน เพราะเรามองว่าการทำให้โครงการอะไรเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ต้องทำเองเพื่อที่จะสามารถส่งผ่านถึงผู้ร่วมงานทุกคน ให้ร่วมกันตั้งใจทุ่มเท

ADVERTISMENT

“ สนามแข่งรถ เราก่อสร้างหน้าฝนทั้งๆที่คนห้าม เพราะมันสร้างลำบาก แต่เราทำ เพื่อให้เห็นระบบการไหลของน้ำ ไม่ให้ท่วมหลังสร้างเสร็จ เพราะถ้ามันเป็นแอ่งน้ำจะแก้ไขยาก ฉะนั้นเราจึงเลือกทางยากกว่าเสมอ”

ลูกชายคนโต เนวิน ย้ำว่าทุกอย่างเล็กๆน้อยๆ อยู่ในการใช้ชีวิตทุกวันของผู้ชายที่ชื่อเนวิน หากนั่งสังเกตจะได้อะไรใหม่ๆ แม้กระทั่งทุกวันนี้หากมีเวลาก็จะอยู่กับพ่อ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆทุกวันเสมอ

ประสบการณ์ เด็กที่ไม่เด็ก

นก-ไชยชนก ภูมิลำเนาเกิดนนทบุรี ก่อนย้ายไปอยู่บุรีรัมย์ และย้ายอีกครั้งไปเรียนต่อที่เชียงใหม่ ศึกษาโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จนอายุ 7-8 ขวบ ถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษ

ลูกชายคนโตผู้นำจิตวิญญาณค่ายการเมืองสีน้ำเงิน เผยถึงความทรงจำวัยเด็กที่จดจำประทับใจพ่อไม่รู้ลืม ตอนเด็กๆ ผมนั่งดูโทรทัศน์กับพ่อ มีโฆษณารณรงค์เลิกบุหรี่ พอดูจบหันไปพ่อขอให้เลิกบุหรี่ได้ไหม เพราะสมัยก่อนพ่อสูบบุหรี่หนักมาก พ่อพูดกลับมาคำนึง ว่าถ้าสอบได้ที่หนึ่งเดี๋ยวเลิกบุหรี่ให้ หลังจากนั้นผมตั้งใจเรียน สุดท้ายได้คะแนนเต็ม 100% เกือบทุกวิชา วันต่อมา พ่อเลิกบุหรี่เด็ดขาดตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน นี่จึงเป็นอีกเรื่องที่ประทับใจพ่อ ที่ยึดมั่นคำพูดคำสัญญามาก

จากนั้น 8 ขวบ ถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษ ตอนแรกพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ เพื่อนทำอะไรก็ทำตามๆกันไป สุดท้าย จึงคิดว่าต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตไม่เช่นนั้นไม่รอด ทำให้ผ่านไปไม่ถึงเดือนพูดอังกฤษดีขึ้น พอโตระดับมหาวิทยาลัย เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์การเงิน ก่อนเปลี่ยนไปศึกษาต่อด้านการจัดการการเงินระหว่างประเทศ แต่ระหว่างอยู่อังกฤษ 17 ปี จนถึงอายุ 25 ปี เดินทางกลับประเทศไทยเป็นประจำช่วงวันหยุด เพราะครบครัวอยากให้กลับมาเจอกัน

ไชยชนก เล่าว่าสมัยก่อนช่วงกลับมาเมืองไทย เริ่มช่วยงานครอบครัวตั้งแต่อายุ 21 ช่วงแรกๆ ช่วยงานฟุตบอลประสานหรือส่งเยาวชนไปอยู่ที่เมืองเลสเตอร์ พอครอบครัวทำสนามแข่งรถ ก็เข้ามาช่วยเพราะอยากมีส่วนร่วมสร้างอะไรใหม่ๆ เพราะมองเป็นประสบการณ์ที่ดีในการสร้างสนามแข่งรถมาตรฐานระดับโลก

รวมถึงช่วยเรื่องการตลาดฟุตบอลและสนามแข่งรถ จนสร้างประวัติศาสตร์หลายอย่าง ซึ่งตนเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบุรีรัมย์ ตลอดจนมาทำอีสปอร์ต

จากวันนั้นจนวันนี้เกือบ 20 ปี ไชยชนก พูดติดตลกว่า “ก็บอกพ่อว่าให้เบาๆหน่อย เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะไม่อยากแข่งด้วย” ก่อนอธิบายอย่างจริงจัง ว่าภูมิใจมากๆ แม้เป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ก็มีความสุขมาก แม้มันจะทำให้หนึ่งในแพชชั่นหายไป

แต่ทุกวันนี้พอดูฟุตบอล ตนไม่ได้มองแค่เกมในสนาม แต่มองสปอนเซอร์การหารายได้ พร้อมเชื่อว่านอกจากตัวเอง คนบุรีรัมย์และคนไทยก็ภูมิใจว่าสามารถยกระดับมาตรฐานทีมฟุตบอลในประเทศ จนกลายเป็นระดับต้นๆของอาเซียนได้

เจาะ “บุรีรัมย์ โมเดล” ให้โลกรู้จัก

หนึ่งฟันเฟืองผู้ร่วมพัฒนา “บุรีรัมย์โมเดล” บอกว่า ทุกอย่างที่ เนวิน ชิดชอบ ทำต้องการสื่อว่า อย่าเห็นแก่ตัว นึกถึงผลประโยชน์ส่วนรวมให้มากกว่า ไม่เช่นนั้นจะไม่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน

บุรีรัมย์โมเดล ทฤษฎีตอนแรกที่ใช้คือ 60 : 40 นอกจากเป้าหมายกำไร คือการพัฒนาจังหวัด ต้องดึงเศรษฐกิจเข้ามาทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนเห็นจาก การตั้งราคาสินค้า ดึงโครงการต่างๆ เข้ามาทำให้ประชาชนในจังหวัดมีส่วนร่วม เมื่อเวลาผ่านไปมันเห็นชัดว่าเกิดประโยชน์ พอคนบุรีรัมย์เข้มแข็งขึ้น ก็ทำให้เขาเกิดความผูกพัน และวันนี้กลับมาซัพพอร์ตเรา

แต่ก่อนเราเป็นลมหายใจคนบุรีรัมย์ ในการดึงสิ่งต่างๆเข้ามา ทุกวันนี้คนบุรีรัมย์คือคือลมหายใจของสโมสรบุรีรัมย์ นี่เป็นการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน

ไชยชนก เผยความรู้สึกกับคำว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดอะไรก็เป็นไปได้ เวลารู้สึกเหนื่อย ท้อ หรือเจออุปสรรค พอได้กลับบุรีรัมย์ มองสิ่งที่เคยทำมาก็คิดว่าทำได้ยังไง ฉะนั้นคิดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ จึงทำให้มีแรงบันดาลใจเสมอ วันนี้ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ยังมีอีกเยอะที่ต้องตั้งใจทำต่อไป เพื่อพัฒนาจังหวัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ดีใจที่จะมีคนนำไปประยุกต์ใช้เป็นโมเดล เพื่อประโยชน์ของพื้นที่อื่นๆ

3 ปัจจัยลงสนามการเมือง

ไชยชนก เปิดใจถึงสาเหตุยอมเข้าสู่สนามการเมือง ทั้งที่พยายามหนีมาตลอดว่า มี 3 ปัจจัยหลักๆ ในช่วงการเลือกตั้งปี 66 คือหนึ่ง ตอนนั้นจังหวัดบุรีรัมย์ แบ่งเขตการเลือกตั้ง เปลี่ยนจาก 8 เป็น 10 เขต ประกอบกับหนึ่งในผู้สมัคร สส.ของพรรคขณะนั้นไม่พร้อม คุณพ่อจึงมาถามอีกครั้ง ซึ่งไม่ทราบเป็นรอบที่เท่าไหร่ จะเปลี่ยนใจมาเล่นการเมืองหรือไม่ จึงบอกกลับไปก่อนว่า ขอเวลาคิดก่อน

ประกอบกับเหตุที่สอง ช่วงนั้นการเมืองกำลังเปลี่ยน มีพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ผู้ใหญ่ในพรรคจึงมาถามในฐานะวัยรุ่นคิดเห็นอย่างไร มิตินี้จึงทำให้ต้องกลับไปคิดว่า หรือควรลองเพราะมันจะมีพื้นที่ทำให้สามารถนำเสนอประโยชน์ให้กับสังคมได้

ประเด็นสามที่ทำให้ตัดสินใจ คือ ก่อนหน้าช่วยทำทีมฟุตบอลและสนามแข่งรถ รวมถึงทำให้วงการอีสปอร์ตเกิดการเปลี่ยนแปลงจนสังคมเปิดใจ และกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ในการสร้างประโยชน์ให้สังคมไทย จึงคิดว่าหากลองดูสักตั้งก็จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงช่วยสังคมประเทศมากกว่าที่เคยทำงานในภาคเอกชน

“สุดท้ายเมื่อสามปัจจัยมาประกอบกัน จึงตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมือง”

วันที่ตัดสินใจลงสู่สนามการเมือง บอกพ่อเนวินว่าอย่างไร ‘ไชยชนก’ รุ่น 3 บ้านชิดชอบ ตอบสบาย ๆ ว่า ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ว่า “โอเค ก็ได้ครับ งั้นลองดูสักตั้งหนึ่ง”

“พอเข้ามาอยู่ในการเมืองจริง ๆ มันก็ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว แต่วันนี้รู้สึกแฮปปี้กับมัน แฮปปี้โอกาสที่ได้ทำ”

ภายหลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 66 เปลี่ยนสรรพนามเป็น “นักการเมือง” ไชยชนก เผยความรู้สึกว่า แง่ชีวิตไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ แต่กดดัน ทำอะไรต้องระมัดระวังมากขึ้น นี่คือสิ่งแรกที่รู้สึกหลังได้เป็นนักการเมือง แต่หลังจากนั้นต้องมาศึกษาเรียนรู้ เพราะในสนามการเมือง มีทั้งคนรุ่นเดียวกันและผู้มีประสบการณ์เยอะเต็มไปหมด ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังไปพร้อมกับศึกษาการเมือง

“สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดในการปรับตัวจากเอกชน มาสู่การเมืองคือการทำงาน ภาคเอกชนเมื่อเจออุปสรรคหรือปัญหา ทุกการตัดสินใจเรารับผิดชอบเต็มที่ 100% แต่พอเป็นนักการเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จุดนี้พอจะเจอปัญหาหลายคนก็ต่างมุมมอง ปัญหาต่างกันสิ้นเชิง วิธีแก้ปัญหาก็แตกต่างกัน ตรงนี้รู้สึกเป็นสิ่งที่ยากและตนก็ต้องเรียนรู้อยู่ตลอด”

พ่อบ้านพรรควัยหนุ่ม

“ผมเป็นคนไม่ยึดติดตำแหน่ง แต่ช่วงแรก (ที่เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย) เครียด หนักใจเพราะมันเคยเป็นตำแหน่งของอา (ศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรู้สึกมันเร็วไปสำหรับผม” ไชยชนก เผยความรู้สึกที่ต้องขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บริหารพรรคการเมือง

แต่วันนี้มองย้อนกลับไป รู้สึกว่าก็ทำหน้าที่ได้ดี เห็นจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในภูมิใจไทย ผลตอบรับของสมาชิกพรรค รวมถึงการทำงานและสิ่งที่กำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงมากขึ้น นี่เป็นบททดสอบที่ทำให้รู้สึกพอใจและทำให้คนอื่นรู้ว่าเลือกไม่ผิดเช่นกัน

เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย บอกถึงการทำงานเกือบ 1 ปีว่า เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่การที่เห็นพรรคซึ่งไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานเลย เห็นสมาชิกซึ่งมากประสบการณ์เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ตนนำเสนอ และเห็นถึงคุณค่าประโยชน์การทำงาน

จึงคิดว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ภูมิใจไทย สามารถสร้างประโยชน์และทำงานได้หลากหลายรูปแบบมาก ๆ เพราะมีคนเก่งเต็มไปหมด แต่ไม่ค่อยมีเวทีเท่าไหร่ ฉะนั้นจะต้องดึงศักยภาพคนเหล่านี้ออกมา ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่หลากหลายของไทย

‘ไชยชนก’ อยากให้พรรคภูมิใจไทย ไปไกลมากกว่านี้ เพราะมองว่าวันนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดี ที่พรรคสามารถสื่อสารได้มากขึ้น รวมถึงมีกรรมการบริหารชุดใหม่ที่มีมุมมองหลากหลาย เป็นกลุ่มที่มีความสามารถมีศักยภาพ และพร้อมเรียนรู้เปิดใจกับหลายเรื่อง รวมถึงระบบการทำงานที่ดึงประชาชนเข้ามาร่วมกันทำงานด้วย จากการให้แสดงความคิดเห็นการทำ พ.ร.บ.สำคัญต่าง ๆ ก่อนเสนอเข้าสู่สภา

ชง กม.เก็บภาษีเข้าบ้านเกิด

ส่วนนโยบายที่อยากขับเคลื่อนภูมิใจไทย ช่วง 2 ปีที่เหลือของรัฐบาล คือการผลักดันกฎหมาย คือ การทำ พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน และ พ.ร.บ.การศึกษาเท่าเทียม คือการนำเทคโนโลยีมาเป็นตัวเชื่อมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มคุณภาพการเรียนการสอนให้เยาวชนเข้าถึงทุกที่ทุกเวลาและฟรีจริง ๆ

ส่วน พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน เป็นการเพิ่มอำนาจให้ประชาชนผู้จ่ายภาษี ให้สามารถกำหนดได้ว่าภาษีที่จ่ายไปควรลงไปพื้นที่ใด ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมตัดสินใจและพัฒนาในแต่ละท้องถิ่น จะเป็นแรงจูงใจให้คนอยากเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น จะได้นำไปสู่การเกิดประชาธิปไตยที่ไม่ใช่เพียงแค่รอวันเลือกตั้งเท่านั้น

ส่วน พ.ร.บ.กัญชากัญชง นโยบายหลักของพรรค พ่อบ้านภูมิใจไทยเปิดเผยความคืบหน้าว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องรอหลายภาคส่วน รวมถึงความพร้อมของสังคม เพราะการขับเคลื่อนประเด็นนี้ไม่สามารถทำคนเดียวได้ พร้อมยืนยันว่าภูมิใจไทยไม่เคยถอย

ยุทธพิชัยสงครามเลือกตั้ง 70

เลขาธิการพรรคสีน้ำเงิน เปิดเผยถึงแผนการเตรียมตัวสู่การเลือกตั้งปี 70 ว่า นอกจากการขับเคลื่อนนโยบายหลักและกฎหมายต่าง ๆ คือการสื่อสารกับประชาชน ตนเชื่อว่า สส.ภูมิใจไทย มีความผูกพันใกล้ชิดประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำมาตลอด แต่อาจมีการกำชับบ้างให้ระมัดระวัง อย่าทำอะไรสุ่มเสี่ยง หรือทำให้เกิดเป็นบาดแผลทางการเมืองได้

“สส.ภูมิใจไทยตั้งแต่เข้ามา เราตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ได้สร้างปัญหากับใคร เราไม่ได้มีแผลอะไร เราแค่อยากทำแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ เชื่อว่าสุดท้ายจะพร้อมที่สุดเอง”

เมื่อถูกถามว่าอะไรเป็นจุดขายพรรคภูมิใจไทย ทำให้ประชาชนไว้ใจ ในการเลือกตั้งปี 70 ไชยชนก ย้ำว่า เรายังคงเหมือนเดิม แต่จะมีตัวละครให้ประชาชนเห็นมากขึ้น คือสมัยก่อนหากมองมา จะมีแต่เลขาธิการพรรค หัวหน้าพรรค ที่จะออกมาสื่อสารกับประชาชน

แต่รอบนี้ภูมิใจไทยมีคนรุ่นใหม่ อาทิ ผม รวมถึงกรวีร์ และภราดร ปริศนานันทกุล และกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดจะมีบทบาทมากขึ้น เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพมีความสามารถที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง ทำให้มองว่าการเลือกตั้งรอบนี้ประชาชนจะเห็นพรรคภูมิใจไทยมากขึ้น

บ้านใหญ่ก็พัฒนาจังหวัดเจริญ

ส่วนข้อครหาคำว่า “บ้านใหญ่” แกนนำรุ่นใหม่ภูมิใจไทยมองว่า คำว่าบ้านใหญ่ มันหมายถึงคนที่มีศักยภาพ มีความสามารถ มีบุคลากร มีทรัพยากร ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้อย่างไร

ผมมองว่าการเป็นบ้านใหญ่ และเท่าที่เห็นบ้านใหญ่ที่อยู่ในกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย มีแต่คนที่ดี ๆ มองถึงประโยชน์ประชาชน เช่น บ้านใหญ่อุทัยธานี กรณีอุบัติเหตุรถโรงเรียน หากไม่ใช่บ้านใหญ่ไทยเศรษฐ์ จะมีการบริหารจัดการที่ดีและทำให้ประชาชนรักขนาดนั้นไหม เป็นสิ่งสะท้อนเห็นได้ชัดเจน

รวมถึงพวกผม (บ้านชิดชอบ) ที่พัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ ถ้าพวกเราไม่ใช่บ้านใหญ่ จะสามารถนำจังหวัดไปสู่การเปลี่ยนแปลง จากเป็นจังหวัดที่เคยติดอันดับความจนเป็นอันดับสามของประเทศไทย หรือเป็นเพียงเมืองผ่าน แต่วันนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก สุดท้ายมองว่ามันขึ้นอยู่ที่ว่า คุณใช้คำว่าบ้านใหญ่อย่างไร ฉะนั้นอยากให้ประชาชนให้โอกาส และจับตาดูว่าพวกผมทำอะไรได้บ้าง ในนามของกลุ่มที่เป็นบ้านใหญ่

ภูมิใจไทย ตั้งเป้า สส.เกิน 100

ส่วนเป้าหมายเก้าอี้ สส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย หวังว่าต้องเกิน 100 อยู่แล้ว โดยหนทางที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายมองว่า สส.ภูมิใจไทย มีความผูกพันแน่นแฟ้นในพื้นที่ ฉะนั้นด้วยความที่ผมเป็นคนชอบตั้งเป้าสูง ก็ขอตั้งเป้าเกิน 100 ก่อน แต่ยังไม่ขอแบ่งว่าจะได้โซนภาคไหนเท่าไหร่ แต่คิดว่าฐานหลักยังคงต้องเป็นพื้นที่อีสาน ก่อนออกตัวว่า ผมยังเป็นเลขาใหม่ ขอให้ผู้ใหญ่ตัดสินใจ

ขณะที่อนาคตการเมืองของภูมิใจไทย จะต้องเป็นพรรคอันดับไหนในการจัดตั้งรัฐบาล ไชยชนก บอกว่า หลายเรื่องที่สัมผัสได้ คือ สิ่งที่เราพยายามขับเคลื่อนและทำเป็นนโยบาย พอเวลาไม่ใช่กระทรวงที่พรรคกำกับดูแลมันขับเคลื่อนยากมาก ฉะนั้น เราไม่ติดในเรื่องอันดับ แต่ขอให้ทำงานได้ หากยิ่งอันดับสูงก็สามารถทำประโยชน์ได้ง่ายขึ้น

ขณะที่อยากมีนายกรัฐมนตรี ที่มาจากพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ รุ่น 3 ชิดชอบ บอกว่า หากถามอยากมีไหม จริง ๆ ก็อยาก เพราะจะได้ทำงานมากขึ้น นอกเหนือจากที่ทำอยู่ทุกวันนี้ แต่สุดท้ายอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน

พร้อมนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี

เมื่อถามว่า พร้อมใกล้เป็นรัฐมนตรีแล้วหรือไม่ ไชยชนก บอกว่า ถ้าผมคิดว่ามีคนในพรรคทำหน้าที่ได้ดีกว่า หรือเหมาะสมมากกว่า คงบังคับให้ตนเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ แต่ถ้าตนรู้สึกว่าสามารถทำและสร้างประโยชน์ได้ดีที่สุด ก็คงไม่มีใครห้ามได้เหมือนกัน

ส่วนกระทรวงที่มีความถนัดเชี่ยวชาญ ไชยชนก ตอบว่า มี 3 กระทรวงที่เชื่อว่าสามารถทำงานได้ คือหนึ่ง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เพราะผมจะสามารถทำประโยชน์ได้เยอะ เนื่องจากรู้สึกว่าคนไทยเก่งอยู่แล้ว และหากมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลทั่วถึง เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจก็จะพัฒนาอย่างแน่นอน หากทำตรงนี้ได้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไปทางที่ดี

รวมถึงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เชื่อว่าหากได้ทำงาน จะสามารถช่วยงานได้เยอะ เพราะกระทรวงนี้นำไปสู่การช่วยเหลือได้ทุกอุตสาหกรรม โดยที่เราสามารถเอามันสมองของประเทศมาช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ทุกบริบท

และอีกกระทรวง คือ วัฒนธรรม ตนรู้สึกว่าตรงนี้เป็นหน่วยงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้มหาศาล เพราะไทยเป็นประเทศท่องเที่ยว มีจุดเด่นเสน่ห์ซึ่งอยู่ในวัฒนธรรมอยู่แล้ว และจากที่เคยทำบุรีรัมย์โมเดล จนกลายเป็นสนามแข่งรถระดับโลก ด้วยการเอารถอีแต๋นมาขับในสนาม จนได้กระแสตอบรับดีจากต่างชาติ ฉะนั้นหากไทยส่งเสริมและสร้างมูลค่าให้วัฒนธรรม ก็จะนำไปสู่การสร้างอาชีพ และการไหลเทเข้ามาของเม็ดเงินต่างประเทศอย่างมหาศาล

ในช่วงท้าย เขาเผยถึงเป้าหมายทางการเมืองว่า “สำคัญที่สุด ทำให้ภูมิใจไทยก้าวไปข้างหน้าและพัฒนาทำให้มันเปลี่ยนแปลงการเมืองและพัฒนาประเทศได้”

ที่มาภาพส่วนหนึ่ง :