“เพื่อไทย” ซักฟอก คสช.นอกสภา 4 ปี แจก (เงิน) เก่ง แต่ใช้ไม่เป็น…ล้มเหลวทุกด้าน

ในจังหวะที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เทกระจาดงบประมาณกว่าแสนล้านบาท ช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.5 ล้านคน ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการ “หาเสียง” ล่วงหน้า ซื้อแต้มให้กับพรรคพลังประชารัฐ

ซึ่งเปิดหน้าหนุน “พล.อ.ประยุทธ์” คัมแบ็กอำนาจ สวนทางกับพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ประกาศตัวอยู่คนละฝ่ายกับผู้มีอำนาจ ไม่กล้ากระดิกแม้แต่จะพูดนโยบาย-ขายในช่วงเลือกตั้ง

“พรรคเพื่อไทย” ที่ตั้ง “สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” เป็น “แม่ทัพ” สู้ศึกเลือกตั้งในตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง ใช้สิทธิ “ซักฟอก” ผลงานรัฐบาล-คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่พบกับผู้บริหาร “เครือมติชน”

“สุดารัตน์” อภิปรายว่า ตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมามีการวางแผนที่จะสืบทอดอำนาจตั้งแต่วันแรก มีการวางแผนบันได 7 ขั้น ขั้นแรก ผู้มีอำนาจประกาศว่าการรัฐประหารต้องไม่เสียของ จึงได้วางแผนยึดอำนาจประมาณ 20 ปี ผ่านยุทธศาสตร์ชาติ

บันไดขั้นที่ 2 ผ่านการวางกฎกติกาในรัฐธรรมนูญในกลไกต่าง ๆ ที่จะรับประกันว่าการรัฐประหารจะไม่เสียของ มีพรรคที่สนับสนุน คสช. และเตรียมเสียง ส.ว.ไว้ 250 เสียง เพื่อเป็นผู้ร่วมเลือกนายกฯ

บันไดขั้นที่ 3 คสช.บอกเข้ามาเป็นกรรมการกลาง แต่กรรมการกลางได้วางแผนตั้งแต่ต้นว่าออกกติกาต่าง ๆ ให้เอียงสุด ๆ วันนี้กรรมการกลางปรากฏตัวว่าจะลงมาเล่นเอง ด้วยการออกคำสั่ง ม.44 ห้ามผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามลงไปฝึกซ้อมในสนาม ห้ามทำงาน ห้ามพบประชาชน โดยอ้างความไม่สงบ

บันไดขั้นที่ 4 ใช้อำนาจที่มีเต็มที่ และใช้งบประมาณของแผ่นดินที่เป็นภาษีอากรของประชาชน ลด แลก แจก แถม โดยไม่ได้สร้างกำลังซื้อ เป็นรัฐบาลที่ใช้เงินในการแจกเก่ง แต่ใช้ไม่เป็นเพราะถ้าใช้เป็นจะได้กำลังซื้อจะกลับขึ้นมา พิสูจน์ในช่วง 4 ปี

นำไปสู่บันไดขั้นที่ 5 มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ แม้แต่การแบ่งเขตเลือกตั้ง มีการออกมาตรา 44 รับรองการแบ่งเขตที่ผิดกฎหมายให้ไม่ผิดกฎหมาย จะมีการออกใบเหลือง ใบแดง ใบส้มอย่างเต็มที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้

บันไดขั้นที่ 6 ปรากฏร่องรอยการดูด ส.ส. ใช้อำนาจรัฐ ใช้เรื่องคดีความในการต่อรองให้ ส.ส.ย้ายมาสังกัดพรรคที่สนับสนุน คสช. การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการใช้อำนาจรัฐมากที่สุด และมีการออก ม.44 ในการควบคุม โยกย้ายข้าราชการได้ในช่วงการเลือกตั้ง โดยอ้างเรื่องความบริสุทธิ์ ยุติธรรม

บันได้ขั้นที่ 7 คือ วันเลือกตั้ง คือวันเผด็จศึก ซึ่งจะได้เห็นอภินิหารอีกมากมาย เป็นสิ่งที่มองเห็นในยุค 2561 อาจเป็นความภูมิใจว่าเรามีการเลือกตั้งภายใต้ ม.44 ประเทศเดียวในโลก

“วัฒนา เมืองสุข” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพื่อไทย ถูกแต่งตั้งให้ดูเรื่องการแก้ปัญหาสินค้าเกษตร อภิปรายว่าปัญหาที่น่าห่วงที่สุดของประเทศวันนี้ คือ ปัญหาที่คนจนขาดกำลังซื้อ

การแก้ปัญหาของรัฐบาลนี้คือการแจกเงินคนจน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตเลือกตั้ง ทั้งที่ควรทำคือ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะการที่คนจนไม่มีกำลังซื้อคือจุดตายทั้งหมด ส่งผลทำให้เครื่องยนต์ตัวอื่น ๆ หยุดไปด้วย เครื่องมือที่จะนำมาใช้สร้างอาชีพให้ประชาชน กลับกลายเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิประชาชน เช่น กฎหมายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

“โภคิน พลกุล” มือกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ซักฟอกว่า เพราะ “อำนาจนิยม” ทำให้รัฐบาลล้มเหลวทุกด้าน

“สิ่งที่เกิดขึ้นพยายามหาคำตอบที่เป็นจุดรวบยอดว่าปัญหาความล้มเหลวของทุก ๆ ด้าน ทั้งความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก ความล้มเหลวเรื่องประชาธิปไตย และการใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน มีรากฐานจากอะไร ก็ได้คำตอบว่า คือความคิดแบบอำนาจนิยม”

“สิ่งที่อำนาจนิยมสร้างมาตลอดคือการสร้างรัฐราชการ ทำให้การดำเนินการทุกอย่างซับซ้อนไปหมด ทุกคนทุกหน่วยงานบอกว่าฉันต้องมีอำนาจควบคุม ระบบยิ่งกลายเป็นรัฐราชการมากขึ้นทุกวัน ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตั้งเป้าว่าไทยจะเป็นประเทศที่รวย มีรายได้ต่อหัว 5 แสนบาทต่อปี จะต้องแก้ระบบราชการที่ล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพ แล้วถามว่าทุกวันนี้แก้หรือเพิ่มความล้มเหลว”

“และการที่มีรายได้ต่อหัว 5 แสนบาทต่อปี ถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ย คิดว่าเหนื่อย เพราะวันนี้บัตรคนจนปาไป 15 ล้านคน ไม่รู้เลือกตั้งจะแจกไปถึงกี่ล้าน ถ้าแจกถึง 20 ล้านคน ประเทศนี้

ไม่ต้องพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง พ้นจากความยากจนยังทำไม่ได้ เพราะสร้างแต่คนจนทุกวัน เอาเงินกดหัวคน ใช้วิธีโปรยเงินทุก ๆ รูปแบบเพื่อรักษาอำนาจนิยมไว้ ถ้าบ้านเมืองเดินอย่างนี้จะเป็นปัญหาที่สำคัญในอนาคต”

ด้าน “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวว่า ระบอบเผด็จการทำให้เกิดปัญหาเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจกับการกระจายรายได้ ขยายช้า กระจายรายได้ก็ไม่ดี ส่งออกควรจะสามารถทำให้ดีกว่านี้ หากคู่ค้าสำคัญยอมเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับไทย แต่ระบอบเผด็จการเป็นอุปสรรคขวางทางอยู่

เรื่องการท่องเที่ยว นอกจากไม่ทำอะไรแล้ว เวลามีอำนาจ พูดจาใหญ่โต ไม่คิดให้รอบคอบ ส่งผลกระทบร้ายแรง จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศที่สำคัญรู้สึกและหายไป เรื่องอุปโภคบริโภคในประเทศ เวลาผลผลิตการเกษตรหลักราคาตกในช่วงที่ยังไม่มีกลิ่นอายประชาธิปไตย จะมีแต่ท่าทีที่บอกว่าให้กลไกตลาดทำงาน หรือปล่อยตามยถากรรม แม้กระทั่งให้ไปขายบน

ดาวอังคาร ทั้งที่การอุดหนุนสินค้าเกษตรเป็นหลักปฏิบัติที่ทั้งโลกทำกัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจและนำงบประมาณไปใช้ในงานด้านความมั่นคง

การดูแลค่าแรงค่าจ้างขั้นต่ำ แม้เป็นต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นสำหรับภาคเอกชน แต่ก็เป็นต้นทุนเพียงเสี้ยวเดียวคือด้านแรงงาน แต่ทำให้เกิดกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อยในสังคมเมืองด้วย เมื่อประชาชนมีรายได้น้อยจึงเกิดภาวะจนกระจาย แล้วจะเป็นกำลังซื้อในประเทศได้อย่างไร การลงทุนภาคเอกชน เมื่อความต้องการในประเทศต่ำ ผู้ลงทุนในต่างประเทศหรือในประเทศก็ไม่มีความกระตือรือร้นในการลงทุน เพราะกำลังซื้อในประเทศหดตัว

การใช้จ่ายภาครัฐ งบประมาณประจำปี 3 ล้านล้าน ปรากฏว่าภายใต้ระบบนี้ การอนุมัติงบประมาณผ่านการออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติเต็มไปด้วยความรวดเร็ว ความรอบคอบต่ำกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยแน่นอน การขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้นถึง 5 แสนล้านบาท แต่เศรษฐกิจกลับซบเซาได้ขนาดนี้ เป็นสิ่งยืนยันว่าการดำเนินนโยบายการคลังมีความล้มเหลว

ยิ่งใกล้เลือกตั้ง อุณหภูมิการเมืองยิ่งเดือด ขนาดยังไม่ปลดล็อก การเมืองยังไม่เปิด คสช.ยังถูกอภิปรายนอกสภา

 

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
.
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!