จำนวน 254 เสียง จาก 19 พรรคการเมือง ประกอบร่างเป็นรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ ได้ผู้นำประเทศชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
แต่กลายเป็นรัฐบาล “เสียงปริ่มน้ำสุด ๆ” หลังเข้าสู่ยุคธงเขียวปฏิรูปการเมือง เมื่อปี 2540 ที่มีรัฐบาลเสียงข้างมากเข้มแข็ง แต่ภาพการเมืองปัจจุบันย้อนถอยหลังเข้าคลอง ภาพรัฐบาลปวกเปียก ไม่มีเสถียรภาพปรากฏชัดมากขึ้น เพราะมีแต้มห่างจากฝ่ายค้านที่มี 246 เสียง แค่ 8 เสียง
- บัตรเครดิตซิตี้ ย้ายไป UOB บัตรประเภทไหน เปลี่ยนแปลงอย่างไร
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
- Q1 “ITD” สะเทือน 4 แบงก์ใหญ่ ส่อตั้งสำรองเพิ่ม-กำไรหด
เพราะรัฐบาลผสม 19 พรรค ขั้วพลังประชารัฐ มีจำนวนพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมาก เป็นรองเพียงแค่ รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อปี 2518 ซึ่งประกอบด้วย 23 พรรคการเมือง
ในครั้งนั้นเหตุการณ์รัฐบาล “ปริ่มน้ำ” เกิดขึ้น 2 รัฐบาลติดกัน เมื่อผลการเลือกตั้งครั้ง 26 ม.ค. 2518 อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 10 ไม่มีพรรคใดได้เสียงในสภาเกินครึ่ง โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงมากเป็นอันดับ 1 มี ส.ส. 72 เสียง พรรคธรรมสังคม 45 เสียง พรรคชาติไทย 28 เสียง พรรคเกษตรสังคม 19 เสียง พรรคกิจสังคม 18 เสียง พรรคสังคมชาตินิยม 16 เสียง พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย 15 เสียง พรรคพลังใหม่ 12 เสียง พรรคแนวร่วมสังคมนิยม 10 เสียง พรรคสันติชน 8 เสียง
แต่กลายเป็นว่า แม้สภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากจะโหวต ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นนายกฯ แต่ทันทีที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา กลับถูกคว่ำ-แพ้โหวตกลางสภา เมื่อ 15 มี.ค. 2518
“ม.ร.ว.เสนีย์” ได้เป็นนายกฯ ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น
ถัดมา 2 วัน วันที่ 17 มี.ค. 2518 “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” หัวหน้าพรรคกิจสังคม ที่ได้เสียงในสภาแค่ 18 เสียง อยู่ในลำดับที่ 5 กลับได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ เพราะสามารถรวมเสียงจากพรรคต่าง ๆ ได้ถึง 135 เสียง เป็นเสียงไว้วางใจให้เป็นนายกฯ 140 เสียงต่อ 124 เสียง
แต่รัฐบาลปริ่มน้ำของ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์” ก็อยู่ได้เพียง 1 ปี เพราะปัญหาความขัดแย้งภายใน จนต้อง “ยุบสภา” ในที่สุด ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ของ “ม.ร.ว.เสนีย์” ได้รับการเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 อีกครั้ง และเป็นรัฐบาลกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519
หลังรัฐประหาร 6 ต.ค. 2519 การเมืองไทยเข้าสู่ยุคทหาร-ประชาธิปไตยครึ่งใบ นานนับทศวรรษ ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญ 2521 ให้ ส.ว.มีบทบาทสนับสนุนนายกฯ เป็นผลให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯได้ถึง 8 ปี ไม่มีรัฐบาลถึงขั้น “ปริ่มน้ำ” ให้หนักใจนายกฯ
แต่สถานการณ์รัฐบาลผสมเกิดขึ้นอีกครั้งในยุค “ชวน หลีกภัย” แห่งพรรคประชาธิปัตย์ หลังการเลือกตั้ง 13 ก.ย. 2535 รัฐบาลผสมประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม พรรคกิจสังคม และพรรคเอกภาพ มีเสียงรวมกัน 207 เสียง จากจำนวนเสียงทั้งหมด 360 เสียง ในสภาผู้แทนราษฎร
แม้มีเสียงมากกว่าฝ่ายค้าน 153 เสียง แต่เมื่อถึงคราวที่พรรคประชาธิปัตย์ ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่อง สปก.4-01 เมื่อ 19 พ.ค. 2538 พรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นพรรคขนาดกลาง คุมเสียงในสภา 47 เสียง งดออกเสียงไม่โหวตให้ฝ่ายรัฐบาล ซ้ำรัฐมนตรีของพลังธรรมจะลาออกจากคณะรัฐมนตรี ขณะที่สมาชิกกลุ่ม 16 ในพรรคชาติพัฒนาที่มีสมาชิก 21 คน จะไม่ยกมือโหวตให้รัฐบาล ผลดังกล่าว ทำให้ “ชวน” ต้องประกาศยุบสภา เมื่อ 19 พ.ค. 2538
ขณะที่ในยุครัฐบาลชวน 2 ที่เข้ามาเสียบเป็นรัฐบาลแทนพรรคความหวังใหม่ ของ “ชวลิต ยงใจยุทธ” ที่ประกาศลาออกจากนายกฯ ทำให้ฟากรัฐบาล-ฝ่ายค้าน จัดตั้งรัฐบาลแข่งกัน โดยฝ่ายรัฐบาลความหวังใหม่ ได้ชู “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” แห่งชาติพัฒนา เป็นนายกฯ ขณะที่ขั้วฝ่ายค้าน ชู “ชวน หลีกภัย” เป็นนายกฯสมัยที่ 2
ผลปรากฏว่า การรวบรวมเสียงทั้งสองฝ่ายห่างกันแค่ 1 แต้ม เพราะข้างรัฐบาล ความหวังใหม่ มี 125 เสียง พรรคชาติพัฒนา 52 เสียง พรรคประชากรไทย 18 เสียง และพรรคมวลชน 2 เสียง รวม 197 เสียง
ฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ 123 เสียง พรรคชาติไทย 39 เสียง พรรคเอกภาพ 8 เสียง พรรคพลังธรรม 1 เสียง พรรคไท 1 เสียง พรรคกิจสังคม 20 เสียง พรรคเสรีธรรม 4 เสียง รวม 196 เสียง ซึ่งน้อยกว่าฝ่ายรัฐบาล 1 เสียง ทำให้เกิด “งูเห่า” ขึ้น เมื่อ ส.ส.พรรคประชากรไทย 12 คน แหกมติพรรค เข้าร่วมสนับสนุนชวน ทำให้มีเสียง 208 เสียง พลิกกลับมาเป็นรัฐบาลผสม ชวน 2 มีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านแค่ 11 เสียง เท่านั้น
รัฐบาลชวน 2 บริหารประเทศด้วยเสียงปริ่มน้ำ แม้ภายหลังจะมีเสียงเพิ่มขึ้นอีก 8 เสียง มากกว่าฝ่ายค้าน 18 เสียง แต่อยู่รอดถึงปี 2544 ใกล้ครบวาระ จึงเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคไทยรักไทยของ “ทักษิณ ชินวัตร” ชนะเลือกตั้ง เป็นอันเข้าสู่รัฐบาลเสียงข้างมากตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ดีไซน์ไว้ หมดยุครัฐบาลปริ่มน้ำ
กระทั่งรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ และขั้วพรรคพลังประชารัฐ มีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านแค่ 7 เสียง ขึ้นอยู่กับผู้นำ “พล.อ.ประยุทธ์” จะพิสูจน์ฝีมือประคองรัฐบาลได้กี่เดือน-กี่ปี