“สุวิทย์” ฝ่ากระแสปรับ ครม.พลังประชารัฐ นำบิ๊กธุรกิจ ตบเท้าพบ “ประยุทธ์”

เมื่อเวลา 15.30 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำตัวแทนภาคธุรกิจจำนวน 8 ท่าน ประกอบด้วยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งจากผู้ประกอบการ ผู้แทนจากภาคอุตสาหกรรม เอกชน นักวิชาการ หน่วยงานของรัฐ และภาคสังคม เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพื่อหารือเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG (Bioeconomy, Circular Economy, Green Economy) โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ด้านความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสาธารณสุข ความมั่นคงทางพลังงาน หลักประกันการมีงานทำ และความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งพัฒนาตอบสนองความต้องการในแต่พื้นที่ไปสู่การเดินหน้าไปด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

กระทรวง อว. ได้ดำเนินการจัดระดมความคิดของทุกภาคส่วน มุ่งเน้นยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง แบ่งเป็น 7 กลุ่มย่อย ประกอบด้วย

1.กลุ่มเกษตร โดยมี น.สพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง เป็นประธาน 2.กลุ่มอาหาร โดยมี นายธีรพงศ์ จันศิริ เป็นประธาน 3.กลุ่มยาและวัคซีน โดยมี ศ. คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร  เป็นประธาน 4.กลุ่มเครื่องมือแพทย์ โดยมี ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ เป็นประธาน 5.กลุ่มพลังงานวัสดุและเคมีชีวภาพ โดยมี นายเทวินทร์ วงศ์วานิช เป็นประธาน 6.กลุ่มท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมี นายกลินท์ สารสิน เป็นประธาน และ 7. กลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมี ดร.วิจารย์ สิมาฉายา เป็นประธาน การระดมสมองของผู้บริหารของบริษัทชั้นนำของไทยด้าน เกษตร อาหาร และ พลังงาน อีกทั้งยังมุ่งเน้นผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นผู้นำของโลกบนฐานความพร้อมของประเทศไทย จากจุดแข็งการเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก โดยมี นายอิสระ ว่องกุศลกิจ เป็นประธาน โดยมีผู้มีส่วนร่วมเข้าเสนอความคิดเห็นประมาณ 500 คน

สำหรับเป้าหมายในการใช้ BCG โมเดลอย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถนำมาปรับภาพลักษณ์ของประเทศไทย (Rebranding Thailand) ภายหลังการเกิดโรคระบาดโควิด – 19 รวมถึงเชื่อมโยงบนฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศ ผ่านการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและท้องถิ่น และเชื่อมประเทศไทยกับประชาคมโลก ซึ่งมีหลักการปรับในการขับเคลื่อนดังนี้

1. ปรับจากรัฐเป็นผู้ลงทุนหลัก ไปสู่เอกชนลงทุนนำภาครัฐส่งเสริมโดยการสร้างระบบนิเวศที่เกื้อหนุนให้เอกชนมีสัดส่วนของการลงทุนในการพัฒนาที่สูงกว่ารัฐ 2. ปรับการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อแก้ปัญหา ไปสู่การลงทุนภาครัฐเพื่อการพัฒนาและแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ 3. ปรับระบบการจัดสรรงบประมาณรายปี ไปสู่ระบบการจัดงบประมาณเพื่อการลงทุนแบบผูกพันต่อเนื่อง 4. ปรับการสนับสนุนทุนวิจัยรายโครงการ ไปสู่การสนับสนุนทุนวิจัยครบวงจร (วิจัย พัฒนา สู่การผลิตและจำหน่าย: RDIM)

5. ปรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยึดโยงอุตสาหกรรมเดิม ไปสู่การสร้างอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ใหม่ 6. ปรับการเติบโตของประเทศโดยการพึ่งพาปัจจัยจากภายนอกประเทศ ไปสู่การเติบโตด้วยการสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน และเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก

และ 7. ปรับจากการทำงานแบบต่างคนต่างทำ ไปสู่การเดินหน้าไปด้วยกัน ผนึกกำลังจตุภาคี ทั้งนี้โมเดล BCG นี้ ได้เริ่มดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพื่อเป็นการปูรากฐานที่เข้มแข็ง อาทิ การจัดตั้งธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank) เพื่อการเก็บ รักษาและใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ จีโนมิกส์ประเทศไทย (Genomics Thailand) ศึกษาข้อมูลจีโนมของคนไทยเพื่อการป้องกัน การรักษา การวางแผนระบบสาธารณสุข และการแพทย์แม่นยำ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (Regional Science) สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมของภูมิภาค ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อการแก้ปัญหาความยากจน ยกระดับการผลิตภาคเกษตรแบบมุ่งเป้า ข้อมูลน้ำ และข้อมูลจากดาวเทียม และ โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery Pilot Plant)

ขยายขนาดการผลิตจากระดับห้องปฏิบัติการสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรม (Waste to Wealth)
นอกจากนี้ยังนำเสนอให้มีโครงการเร่งรัด (Quick Win) ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว อาทิ การใช้กลไกทางการเงินและภาษีสำหรับส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมพัฒนาเกษตรกรสู่ Smart Farmers การยกระดับอาหารริมทาง (Street Food) ให้มีมาตรฐาน ความปลอดภัย ถูกสุขลักษณะ และมีอัตลักษณ์ เชื่อมโยงการท่องเที่ยว

โครงการพัฒนาอาหารสุขภาพนำร่องด้วยนวัตกรรมจากยีสต์ แผนงานการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ (Technology Localization) เพื่อสร้างห่วงโซ่การผลิตเครื่องมือแพทย์ในประเทศ เช่น เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัล ข้อเข่าเทียม ขดลวดหลอดเลือดหัวใจ น้ำยาและเครื่องล้างไตอัตโนมัติ การสร้าง Thailand Genomic Databank และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการบริการทางการแพทย์แม่นยำ ส่งเสริม Medical Hub การพัฒนาวัคซีนโควิดเพื่อความมั่นคงทางสุขภาพ การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการรักษาและดูแลสุขภาพ (Medical & Wellness Hub) ของเอเชีย การประกาศใช้ Carbon Pricing และ Green Tax เพื่อสร้างตลาดและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ การจัดการของเสียเป็นศูนย์ (Zero Waste) และการสร้างมูลค่าจากของเสีย (Waste to Value)

“โดยโมเดล BCG นี้ เป็นกลไกสนับสนุนให้เอกชนเป็นผู้ที่ลงทุนหลักโดยรัฐบาลทำหน้าที่เป็นหน่วยงานสนับสนุน และปลดล็อกกฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรม การผลิต และการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่า GDP จาก 3.4 ล้านล้านบาท เป็น 4.4 ล้านล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมถึงสนับสนุนทุนวิจัยแบบครบวงจร จัดสรรงบประมาณในการลงทุนแบบผูกพันต่อเนื่อง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สร้างความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ พลังงาน เพิ่มการจ้างงานและขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับโลก ทำให้เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ ชุมชนเข้มแข็ง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการพัฒนาและสร้างพลังประชาชนที่ยั่งยืนเพื่อการส่งต่อทรัพยากรสู่คนรุ่นต่อไป พร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

โดยกล่าวถึงปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ทั้ง 3 รัฐมนตรี ประกอบด้วยตน นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ยังคงทำงานตามปกติ คิดว่าขณะนี้ทุกคนต้องช่วยกันทำงานโดยเฉพาะการช่วย นายกรัฐมนตรี ในการนำพาวิสัยทัศน์ของประเทศไปข้างหน้าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดีขึ้น หลังโควิชคนอื่นอาจมองเป็นวิกฤติแต่ประเทศไทยมีโอกาส

“การทำงานของผม ท่านอุตตมพร้อมด้วยนายสนธิรัตน์นั้น ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นคนเลือกเข้ามาเราก็ต้องทำงานและช่วยกันการเมืองก็เป็นเรื่องของพรรค วันนี้มีสิ่งที่เกิดขึ้นจะจริงหรือไม่จริงไม่รู้แต่ก็มีเรื่องของการปรับเปลี่ยนผู้บริหารภายในพรรคเพื่อนำมาสู่การปรับ ครม.ซึ่งเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีทุกคนจะต้องให้เกียรติยืนยันอีกครั้งว่าทั้งสามคนยังไม่ได้พูดคุยกัน

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่แกนนำทั้งสามคนจะมีการพูดคุยหารือกันถึงทิศทางในการลาออกจากตำแหน่งนั้นจริงหรือไม่ นายสุวิทย์กล่าวว่า ก็เพราะเราเป็นคู่กรณีแต่วันนี้ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเพราะยังมีงานอื่นๆที่ต้องทำอีกมาก แต่เป็นไปได้ว่าพรุ่งนี้เจอกันก็อาจจะได้คุยกัน ทั้งนี้เป็นด้วยสปิริตเรามาด้วยกันถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำงาน ทั้ง 4 กุมาร เรามาด้วยกันและลาออกจากรัฐบาล คสช.โดยมีภารกิจเพื่อตั้งพรรคใหม่ซึ่งผมก็เข้าไปช่วยดูแลในเรื่องของนโยบายเราลาออกพร้อมกันทั้ง 4 คนแต่กลับมาเป็นรัฐมนตรี 3 คน ส่วนอีกคนก็ไปช่วยเหลืองานของนายสมคิดจาตุสีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับก็เป็นอารมณ์หนึ่งที่เรามาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันแต่ก็ต้องพูดคุยกันก่อน” นายสุวิทย์ กล่าว

เมื่อถามว่าการตัดสินใจจะผูกโยงกับนายสมคิดด้วยหรือไม่ นายสุวิทย์กล่าวว่านายสมคิดไม่เกี่ยวเป็นเรื่องภายในพรรคซึ่งทั้ง 4 กุมารเป็นกรรมการบริหารพรรคแต่นายสมคิดในฐานะที่เป็นอาจารย์ของตนและซัพพอร์ตทั้ง 4 กุมารมาโดยตลอด ทุกคนก็ให้ความเคารพแต่วันนี้มันต้องแยกในเรื่องของงานและเรื่องของทางการเมืองเราทั้ง 4 คนก็ต้องพูดคุยกัน


“การตัดสินใจอะไรเราต้องมีการพูดคุยกันก่อนเพราะเรามาด้วยกันส่วนเรื่องการปรับ ครม.เราต้องให้เกียรตินายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไรเราต้องหารือกับพลเอกประยุทธ์ก่อนและการเปลี่ยนตัว กก.บห.พปชร.นั้นไม่เกี่ยวกับการปรับ ครม. วันนี้ถ้านายกให้อยู่พวกผมก็อยู่แต่ถ้านายกให้ไปผมก็ไป” นายสุวิทย์ กล่าว