3 ปมร้อน ปัจจัยเสี่ยงรัฐบาลประยุทธ์ เรือดำน้ำ-หักหัวคิวงบฯ-คดีบอส

ปมร้อนรัฐบาลประยุทธ์-เรือดำน้ำ

ปรากฏการณ์ “ชูสามนิ้ว” สุดแขนของกลุ่มนักเรียน นิสิต-นักศึกษาและประชาชน “ไม่ยอมทน” กับรัฐธรรมนูญฉบับ “สืบทอดอำนาจ” และเค้าโครงประชาธิปไตยที่ “ไม่เป็นธรรม” ดังสุดเสียง

จน “ผู้มีอำนาจ” ไม่อาจปิดตา-ป้องหู ท่ามกลาง “อุบัติเหตุ” ทางการเมืองหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ

3 ข้อเรียกร้อง 1.หยุดคุกคามประชาชน 2.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ 3.ยุบสภา เป็น “ระเบิดลูกใหญ่” ที่ “จ่อคอหอย” รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องผจญกับ “ศึกสองด้าน”

ทั้งคลื่นปัญญาชนที่ต้องการปลดแอกจากเผด็จการทหารซ่อนรูป และ “พิษเศรษฐกิจ” หลังโควิด-19

ระเบิดเวลา 3 ลูกใหญ่ “รอวันปะทุ” กับการเติม “เชื้อฟืน” สุมเป็น “เชื้อไฟ” เร่งเร้าเกมรื้อ-ร่างรัฐธรรมนูญฉบับก้าวหน้า-รัฐสวัสดิการเต็มใบทั้งใน-นอกสภา ผลักให้เดินสุดซอย-ไม่ประนีประนอม บนความกังวลของหลายฝ่ายว่านาฬิกาทวนเข็ม-ซ้ำรอย “เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519” หรือ “พฤษภาคม 2535”

ทั้งคดีบอส-วรยุทธ อยู่วิทยา ที่มี “วิชา มหาคุณ” เป็น “หัวหน้าชุด” คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เข้มข้นเข้าโค้งหักศอก-ช่วง 10 วันสุดท้าย ก่อนถึงกำหนด 30 วันที่ต้องรายงานความคืบหน้า-ข้อสรุปต่อ “พล.อ.ประยุทธ์”

“คดีบอส” ถูกจัดเป็น “ภัยคุกคาม” เสถียรภาพของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โทน “สีแดงเข้ม” ระดับความรุนแรงเทียบเท่ากับ “คดีทุ่งใหญ่นเรศวร” ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นชนวนของ “เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516”

ธงของ “คดีบอส” คือ การทำความจริงให้ปรากฏ และ “แก้มือ”ให้กับระบบยุติธรรมที่ต้นทุนทางสังคมกำลังดิ่งเหว โดยมี “จุดหมายปลายทาง” ของการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ (อีกครั้ง)

หากผลการตรวจสอบของมือปราบทุจริต-วิชา มหาคุณ สาวไปถึง “คนใน” คณะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม-กิจการตำรวจ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อาจจะแกะรอย “ตัวละคร” ในคดีได้ทั้งหมด

โดยมี “ธนิต บัวเขียว” ทนายความของ “ผู้ร้องขอความเป็นธรรม” เป็น “จิ๊กซอว์” ตัวสำคัญ ที่อาจจะไขปริศนา-คลี่คลายหลุมดำทั้งหมดของคดี-ปิดสำนวนก็เป็นได้

ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2563 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ร.ต.อ.ภิชาภัช ศรีคำขวัญ รอง สารวัตร (สอบสวน) สน.ทองหล่อ ได้ยื่นขออนุญาตศาล “ออกหมายจับ” นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ใน 3 ข้อหา ประกอบด้วย

1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายมีผู้ถึงแก่ความตาย

2.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในทันที

3.ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 (โคเคน)

โดยหมายจับดังกล่าวมีอายุความ 15 ปี จากนี้เจ้าหน้าที่จะส่งสำนวนให้อัยการ เพื่อให้ทางอัยการมีความเห็นพิจารณาสั่งคดี ซึ่งหากอัยการเห็นควรสั่งฟ้อง ก็จะมีการออกหมายแดง และส่งกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำเรื่องส่งต่อไปยังตำรวจสากล เพื่อติดตามตัวนายวรยุทธ มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ขณะที่ความไม่ชอบมาพากลที่โชยกลิ่นฟุ้ง-คลุ้งไปทั่วรัฐสภา กรณี “ศักดา วิเชียรศิลป์” อธิบดีกรมน้ำบาดาล แฉกลางวงประชุมคณะอนุ กมธ. แผนบูรณาการ 2 ใน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564

“มีอนุ กมธ.บางคนโทรศัพท์เรียกเงิน 5 ล้านบาท แลกกับการผ่านงบประมาณให้ได้”

โดยมีประธานอนุ กมธ. “แนน บุณย์ธิดา สมชัย” ส.ส.อุบลราชธานี พรรคที่มี 1 ใน 3 เงื่อนไขของการร่วมรัฐบาลว่าต้องไม่มีการทุจริตอย่างประชาธิปัตย์เป็นประธาน

กลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ อื้อฉาว-ฉาวโฉ่ไปทั้งสภา 500 หากจับ “อ้ายโม่ง” ที่ตบทรัพย์-งาบหัวคิวหน้าซื้อ-ขายงบประมาณได้ อาจสุ่มเสี่ยงที่จะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องมีอันเป็นไปทั้งคณะ

หรือแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล-เล่นบทพระเอก ชูธงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล้อไปกับกระแสชูสามนิ้ว-3 ข้อเรียกร้อง

ความวัวไม่ทันหาย-ความควายเข้ามาแทรก เมื่อคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ รัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน ในคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564

ที่มี “สุพล ฟองงาม” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐเป็นประธาน มีมติเห็นชอบ 5 ต่อ 4 ซื้อเรือดำน้ำจำนวน 2 ลำจากประเทศจีน วงเงิน 22,500 ล้านบาท

กลายเป็นทัวร์ลง-ตำบลกระสุนตกใส่คณะอนุ กมธ.ของสุพล-พรรครัฐบาลที่ลงมติเห็นด้วย 5 เสียงกับการซื้อเรือดำน้ำ ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำสุดขีด-เข้าขั้นโคม่า ได้แก่ 1.นายสุพล ฟองงาม 2.นายชยุต ภุมมะกาญจนะ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคภูมิใจไทย 3.นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ 4.นายจีรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ และ 5.นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์

รวมไปถึงกองทัพเรือ และกำลังจะเป็น “ไฟลามทุ่ง” ไปยังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และที่ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ คือ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

โดยมี “ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” ส.ส.ฝ่ายแค้น แห่งพรรคเพื่อไทย คอยเติมฟื้น-กระพือประกายไฟ ด้วยตัวละครปริศนา “บิ๊ก ป.” คนที่รู้ว่าใคร “อยู่เบื้องหลัง”

ไม่นับรวมถึง “คดีทุจริต” ของคนในพรรคแกนนำรัฐบาล สืบเนื่องจากกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูล วิรัช รัตนเศรษฐ และพวก รวม 24 ราย

กรณีทุจริตในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (งบฯแปรญัตติ) ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างงานปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ (สนามฟุตซอล) ถึงเวลานี้ “วิรัช” ยังปฏิบัติหน้าที่ประธานวิปรัฐบาลอยู่ มีบุตรชายเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการที่ “คมนาคม”

พล.อ.ประยุทธ์จึง “ถีบ-ถอย” ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ดึงเกม-ซื้อเวลา และตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยระดับจังหวัด-ระดม 29 รัฐมนตรี ปูพรมหาเสียง-หว่านเม็ดเงินปี 2564 กว่า 3 ล้านล้าน “ตุนแต้มต่อ” ก่อนชิงยุบสภา-เลือกตั้งใหม่

ขณะเดียวกันก็จัดทัพโผทหารบก-เรือ-อากาศ-สูงสุด และโผตำรวจบิ๊กสีกากี-เบอร์ 1 ปทุมวัน และ 9 ปลัดกระทรวงที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2563

และหากเลือกเกมยุบสภา นักเลือกตั้งเจ็บตัวกันทุกพรรค เมื่อเลือกตั้งบนกติกาเก่า มีแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์-พลังประชารัฐเท่านั้นที่ “ถือไพ่เหนือกว่า”