กองทัพเรือ โต้นักการเมืองดุเดือด รัฐบาลสั่งซื้อเรือดำน้ำ “จีทูจี” จริง

ทร.แถลงความจำเป็นซื้อเรือดำน้ำ

กองทัพเรือ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ย้ำความจำเป็นในการซื้อเรือดำน้ำ 22,500 ล้านบาท จวกนัการเมือง หยุดสร้างความเกลียดชังให้กองทัพ อ้างโพลเนชั่น สำรวจความคิดเห็น ประชาชน 71% บอกอยากได้

วันที่ 24 สิงหาคม 2563 กองทัพเรือ (ทร.) จัดแถลงข่าว ถึงความจำเป็นในการจัดซื้ออเรือดำน้ำเพิ่ม 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท ณ บก.ทร.วังนันทอุทยาน โดยมีผู้ร่วมแถลงประกอบไปด้วย พลเรือโท ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ สายงานกิจการพลเรือน ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ,พลเรือโท ธีรกุล กาญจนะ ปลัดบัญชีทหารเรือ, พลเรือโท เถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ, พลเรือโท ภราดร พวงแก้ว รองเสนาธิการทหารเรือ สายงานยุทธการ’ พลเรือเอก สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ,

พร้อมด้วยพลเรือตรี อรรถพล เพชรฉาย ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ, นาวาเอก ธาดาวุธ ทัตพิทักษ์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ

พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ สายงานกิจการพลเรือน ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า การใช้เงิน 22,500 ล้านบาทไม่ได้จัดซื้อในปี 2564 ครั้งเดียว แต่เป็นแบ่งจ่ายใน 7 ปี ดังนั้นการกล่าวหาเช่นนี้ ถือเป็นการสร้างความเกลียดชังให้สังคมต่อกองทัพเรือ

“การนำเนื้อหาการจัดซื้อมาโจมตีและให้ข่าวที่ผิด ทั้งใช้เงินฟุ่มเฟือย ถือเป็นเรื่องการเมืองและเห็นแก่ตัวที่สุด จะยอมให้นักการเมืองนำเรื่องไม่จริงมาสร้างความเดือดร้อนทำไม จึงขอให้หยุดทำให้ประชาชนเกลียดชังกองทัพ ขอให้เปลี่ยนมุก เมื่อเช้าก็ดูช่องเนชั่น โพลบอกว่า 71 % ประชาชนอยากให้จัดซื้อเรือดำน้ำ ดังนั้นหยุดสร้างความเกลียดชังและก่อการรวมตัว”

พล.ร.ท.ประชาชาติ กล่าวด้วยว่า “ตอนนี้นายกฯ มีภาระต่างๆ มากมายอยู่แล้ว หากการต่อสู้ของรัฐบาลและฝ่ายค้านจะทำให้ประเทศชาติหยุดชะงัก และทำให้กองทัพเรือเป็นจำเลย จึงขอให้เล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์”

พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ กล่าวว่า จากการที่กองทัพเรือเข้าชี้แจงอนุกมธ.วันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา ก่อนมีอนุ กมธ.บางคนนำข้อมูลไม่ครบถ้วนมาแถลง โดยหวังผลทางการเมืองและสร้างผลกระทบต่อรัฐบาล ซึ่งการจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นไปตามยุทธศาสตร์ แต่ที่ผ่านมาถูกโยงเป็นประเด็นการเมือง โดยประเทศไทยจัดหาเรือดำน้ำในปี 2560 และจะมีประจำการในปี 2566

ด้านเจ้ากรมยุทธการทหารเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือพยายามจัดซื้อเรือดำน้ำและดำเนินการในปี 2560 ปี 2563 แม้มีคนกล่าวว่าจะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ในเร็วๆ นี้ แต่ในทะเลจีนใต้ที่ใกล้ไทยนั้น มีหลายชาติประกาศความเป็นเจ้าของ มีการก่อสร้างสถานี และสนามบินเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุที่อาจทำให้เกิดการปะทะกันได้ หากเกิดการปะทะกัน นี่คือเส้นเลือดใหญ่ของไทยในการค้าและจะมีปัญหาตามมา โดยจะมีปัญหาในเวลาใกล้หรือไกลต้องรอประเมิน แต่การจัดซื้อเรือดำน้ำวันนี้อีก 6 ปีถึงได้รับ

“คำถามว่ากองทัพเรือจะได้เรือดำน้ำในปี 70 ซึ่งการเจรจาต่อชาติ หากไม่มีกำลังที่เข้มแข็งจะมีผล ยกตัวอย่างเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีเรือจากประเทศเพื่อนบ้านมาลาดตระเวนในทะเลของไทย ซึ่งเราตรวจพบ แสดงให้เห็นว่าประเทศนั้นเกรงใจเราหรือไม่ แล้วอีก 7 ปีข้างหน้า เราจะเป็นอย่างไร ยืนยันว่าผลประโยชน์ของชาติ 24 ล้านล้านบาท ในการจัดซื้อเรือดำน้ำเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของชาติเท่ากับแค่ 0.093 % เท่านั้น” พลเรือโท เถลิงศักดิ์กล่าว และว่า ขอยืนยันว่ากองทัพเรือจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และ 3 ด้วยความคุ้มค่าที่สุดแล้ว

ส่วนพล.ร.ท.ธีรกุล กาญจนะ ปลัดบัญชีทหารเรือ กล่าวว่า การจัดหาเรือดำน้ำอีก 2 ลำเป็นการจัดหาแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่การผูกพันงบใหม่ โดยเป็นรายการเสริมสร้างกำลังกองทัพ ทยอยตั้งงบประจำปีตามกรอบ ไม่ได้ขอรับงบเพิ่มเติม ซึ่งงบนี้อยู่ในงบประมาณปี 63 แล้ว

โดยรายการนี้กำหนดว่าปี 63 จ่าย 3,375 ล้านบาท ปี 64 จ่าย 3,925 ล้านบาท ปี 65 จ่าย 2,640 ล้านบาท ปี 66 จ่าย 2,500 ล้านบาท ปี 67 จ่าย 3,060 ล้านบาท ปี 68 จ่าย 3,500 ล้านบาท ปี 69 จ่าย 3,500 ล้านบาท

“แต่ในช่วงโควิดระบาด จึงประสานไปยังจีนและขอคืนงบประมาณก้อนแรกปี 63 ที่ตั้งไว้แล้ว 3,375 ล้านบาท โดยเป็นการชะลอโครงการ รวมถึงโครงการอื่น เพื่อใช้แก้ปัญหาโควิด ซึ่งกองทัพเรือได้ปรับปรุงเนื้อหาใหม่ โดยมีกำหนดลงนามรัฐต่อรัฐในเดือน ก.ย. โดยการจัดงบของกองทัพเรือ ทำโดยความรอบคอบและประหยัด ตระหนักถึงงบของชาติและตั้งงบในกรอบ โดยยืนยันงบ 22,500 ล้านบาท เป็นการจ่ายใน 7 ปี โดยใช้จ่ายตามงบประจำปี ด้วยการตัดงบจัดซื้อยุทโธปกรณ์อื่นลง”

ขณะที่ น.อ.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล รองผอ.สำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ กล่าวว่า ตามที่มีผู้ให้ข่าวการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 1 ส่อเป็นโมฆะนั้น ยืนยันกองทัพเรือไม่พูดเท็จต่อประชาชน และเราไม่ได้อยากซื้อแล้วจะซื้อ เรามียุทธศาสตร์และวิเคราะห์

“โดยเรือดำน้ำมีความจำเป็นต่อประเทศ เพื่อสร้างความมั่งคั่งและผาสุข โดยเฉพาะสมบัติทางทะเล เราไม่ได้คิดแค่ปีสองปีถึงจัดซื้อเรือดำน้ำ เพื่อเสริมอำนาจการต่อรอง และมีกำลังไปคุยกับคนอื่นได้ ก่อนเสนอครม.และเห็นชอบซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำเมื่อปี 2558 ก่อนองค์กรต่างๆ จะประสานงานและพิจารณา โดยเห็นว่าเรือจากจีนคุ้มค่าสุด”

“ส่วนที่บอกว่าจีทูจีปลอม ถือเป็นการกล่าวเท็จ และข้อมูลที่ผิด ยืนยันเป็นจีทูจีจริง จึงขออย่าสร้างความแตกแยก โดยรัฐบาลมองว่าการซื้อเรือดำน้ำแบบจีทูจีเป็นความเห็นชอบและตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน ก่อนรัฐบาลสั่งการให้กองทัพเรือดำเนินการและเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2560 ผบ.ทร.ในขณะนั้น จึงอนุมัติให้ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือในตอนนั้น ไปลงนาม ซึ่งมีการมอบอำนาจชัดเจน กองทัพเรือไม่เคยพูดเท็จกับประชาชน”

พลเรือตรีอรรถพล กล่าวว่า เรือดำน้ำลำที่สอง นอกจากจะได้ในราคาที่คุ้มค่าแล้ว เราได้ส่วนเพิ่มมาเป็นจำนวนมาก เรามีความพร้อมในการลงนามสัญญา สัญญาร่างข้อตกลงของเราได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดเรียบร้อยแล้ว และผ่านการตรวจสอบจากกระทรวงต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้เรื่องทั้งหมดอยู่ที่กระทรวงกลาโหม เพื่อรอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ต่อไป

ดังนั้นหากไม่ดำเนินการตามที่เจรจาไว้ทั้งหมด จนได้ข้อยุติในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลแล้ว แล้วต่อไปเราจะไปคุยค้าขายกับประเทศจีนอย่างไร เขาจะเชื่อเราหรือ พูดอย่างหนึ่ง ขอผ่อนผัน เอาเงินไปช่วยโควิดก่อน ซึ่งเขาก็เข้าใจ เพราะเขาก็ประสบปัญหาเหมือนเรา เราเจรจากันอย่างมิตรภาพ ก็ช่วยเหลือกันไป ทีนี้เมื่อมาถึงในปีที่พอจะสนับสนุนงบประมาณได้ ทางกองทัพเรือก็เห็นว่ามันมีความจำเป็น รวมทั้งช่วงระยะเวลาที่เรามีความจำเป็นต้องใช้เรือดำน้ำมาใช้งาน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ มาดูแลผลประโยชน์ของประชาชน มาดูแลเศรษฐกิจของประเทศชาติ

“ต้องขอยืนยันว่า การจัดหาเรือดำน้ำลำที่สอง ลำที่สาม ซึ่งเลื่อนมามีความจำเป็นที่กองทัพเรือต้องดำเนินการ ถ้าเรือดำน้ำมาช้ากว่านี้ ปี 2569 ปี 2570 ยังไม่มีเรือดำน้ำมา แล้วประชาชนจะอยู่อย่างเป็นสุขอย่างไร ถ้าเราโดนบีบคั้นจากใครก็ตาม จากคนที่หมัดโตกว่า จากคนที่กล้ามโตกว่า คนที่ในสถานะทางเศรษฐกิจสูงกว่า” พลเรือตรีอรรถพลกล่าว

พลเรือโท ประชาชาติ  โฆษกกองทัพเรือ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศชาติเริ่มจะมั่นคงแล้ว สภาวะของเรื่องโควิดก็เริ่มจะดีขึ้นเรื่อยๆ ประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อไป การดำเนินการของทุกกระทรวง ทบวง กรมก็ต้องเดินหน้าต่อไป ในเมื่อความลำบาก ความวุ่นวาย ของสถานการณ์ยังไม่มีอะไร จะมาพูดเรื่องบของเรือดำน้ำไปทำไม งบของกระทวงอื่นก็เช่นกัน ก็ต้องทำงานไปเช่นกัน กระทรวง ทบวง กรม ก็ต้องมีงบฯจัดซื้อจัดหา ต้องเดินหน้ากันต่อไปเช่นกัน รัฐบาลก็ได้มีการเตรียมการกู้เงินรองรับ ก็ต้องใช้เงินก้อนนั้นไปในการทำงานอยู่แล้ว ในเหตุการณ์ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมาทบทวน หรือขอเงินคืนในปีต่างๆ ยังไม่มีอะไรเลย

“เพราะฉนั้นแล้วผมขอย้ำว่า กองทัพเรืออยากเห็นบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า มีความสงบสุข และไม่อยากให้ใครมาสร้างความเกลียด เอาคนกองทัพเรือไปเป็นเครื่องมือ มาสร้างความเกลียดชังอย่างผิดๆ เพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น กองทัพเรือขอวิงววอนว่า อยากให้เราทุกคนมีความเชื่อมั่นในกองทัพเรือที่ประชาชนภาคภูมิใจได้ว่าเราอยู่กับท่านเสมอ เราพร้อมที่จะมีชะตากรรมกับท่านในทุกวินาที เพราะเราก็เป็นประชาชนเหมือนกัน เราไม่ต้องการให้นักการเมืองเอาเรื่องนี้มาสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติ เราไม่ต้องการเห็นคนที่พูดผิด ไม่รับผิดชอบ ออกมายืนเสนอหน้าแบบนี้ พูดผิดต้องรับผิดชอบ เพราะวันนี้กองทัพเรือพูดความจริงทั้งหมดแล้ว” โฆษกกองทัพเรือ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2563  ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในฐานะคณะอนุกรรมาธิการฯ แถลงข่าวถึงกรณีที่ที่ประชุมอนุกรรมาธิการฯ มีมติเห็นชอบงบจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท

โดยนายยุทธพงศ์กล่าวว่า ที่ประชุมอนุกรรมาธิการฯ ในตอนแรกมีมติเสมอกัน 4 ต่อ 4 แต่สุดท้ายนายสุพล ฟองงาม ประธานอนุกรรมาธิการฯ ได้ลงมติเห็นชอบ ทั้งๆ ที่ตำแหน่งประธานอนุกรรมาธิการฯ น้้นไม่ควรลงมติ ต้องวางตัวเป็นกลาง แต่นายสุพลกลับลงมติเป็นอีกหนึ่งเสียง ทำให้มติกลายเป็น 5 ต่อ 4 เห็นชอบการจัดซื้อเรือดำน้ำ พร้อมตั้งคำถามว่า มีการล็อบบี้ในคณะอนุกรรมาธิการฯ หรือไม่?