1 ใน 5 ประเด็น ที่พรรคพลังประชารัฐยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ “ระบบเลือกตั้งบัตรสองใบ” ที่ย้อนยุคกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบคลาสสิก ตามรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
โดยเป็นระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบหนึ่งเลือกคนที่ใช่ ใบหนึ่งเลือกพรรคที่ชอบ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
แม้ว่าการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 หลังรัฐประหาร 19 กันยา พยายามแก้ระบบเลือกตั้ง กันระบอบทักษิณกลับเข้าสู่อำนาจ โดยใช้ระบบเลือกตั้งพวงใหญ่เรียงเบอร์ สุดท้ายก็ต้องกลับมาแก้ไขให้กลับไปสู่กติกา “บัตรสองใบ” ตามรัฐธรรมนูญ 40
เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกปรับแต่งพันธุกรรมระบบเลือกตั้งมาเป็น “บัตรเลือกตั้งใบเดียว” เมื่อถึงคราวแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบบเลือกตั้งบัตรสองใบก็หวนกลับมาอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค ที่กอดคอกันเป็นพันธมิตรแก้รัฐธรรมนูญ คือ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา และภูมิใจไทย ก็เห็นสอดคล้องกับระบบเลือกตั้ง “บัตรสองใบ”
ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 85 และมาตรา 91 ในเรื่องการลงคะแนนเสียงประชาชน หรือระบบเลือกตั้งให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ รวมถึงสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ขณะที่พรรคฝ่ายค้าน นำโดยพรรคเพื่อไทย ก็คล้อยตามเรื่องบัตรเลือกตั้ง 2 ใบที่ย้อนกลับไปใช้กติกาแบบรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550
เพื่อไทยแก้ไข 4 ประเด็นเบื้องต้น คือ 1.อำนาจ ส.ว. 2.ระบบเลือกตั้งที่อยากให้ใช้บัตร 2 ใบ 3.อำนาจและที่มาขององค์กรอิสระ และ 4.เรื่องยุทธศาสตร์ชาติ
ที่เสียงแปร่งไปในส่วนของฝ่ายค้านคือ “ก้าวไกล” ที่ถูกโยงว่าได้ประโยชน์จากระบบเลือกตั้ง “บัตรใบเดียว” ในกติการัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งครั้งนี้ “ก้าวไกล” ชงไอเดียเลือกตั้งบัตรสองใบ แต่ไปใช้สูตร MMP Mixed-Member Proportional แบบเดียวกับประเทศเยอรมนี
ทั้งนี้ ในภาพรวมของฝ่ายค้านยังรอการ “ตกตะกอน” อีกครั้ง ก่อนเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญ 22 พฤษภาคมนี้
แต่เบื้องต้น ทั้งแกนนำพรรครัฐบาลพลังประชารัฐ และ 3 พรรคร่วมรัฐบาล “ธง” การแก้ไขรัฐธรรมนูญระบบเลือกตั้ง-ตั้งใจย้อนกลับไปใช้ระบบ 40-50 เช่นเดียวกับแกนนำฝ่ายค้านเพื่อไทย
“ไพบูลย์ นิติตะวัน” หัวขบวนพลังประชารัฐ กล่าวว่า มันต้องกลับมาอย่างนี้แหละ เมื่อฝ่ายค้านต้องการอย่างนี้ เราก็เอาอย่างนี้ ฝ่ายค้านเขาก็พอใจ มีอันไหนที่ฝ่ายค้านไม่พอใจ มันไม่มี มีแต่ส่วนเกินที่เขาจะเสนอ เช่น เรื่องตัดอำนาจ ส.ว. แต่เรื่องอื่น ฝ่ายค้านรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยก็พอใจ โอเคหมด
ฟากนักวิชาการ-คนเป็นกลาง “สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ขาดว่า ที่พรรคพลังประชารัฐซึ่งได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ ที่ดีไซน์มาให้พวกเรา เพราะประเมินตัวเองว่ากำลังจะเป็นเพื่อไทย
ที่หากใช้กติกา “บัตรใบเดียว” แบบจัดสรรปันส่วนผสม จะได้เฉพาะ ส.ส.เขต แต่ไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย ถ้าพลังประชารัฐไม่อยากเป็นแบบเพื่อไทย จึงต้องกลับไปใช้ระบบเลือกตั้ง 2 ใบ ทั้งเขต และบัญชีรายชื่อ
ส่วนพลังประชารัฐจะได้เปรียบพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ “สติธร” กล่าวว่า ต้องไม่ลืมว่า เพื่อไทยถนัดเกมเลือกตั้งบัตร 2 ใบเช่นกัน เขาก็ไม่ต้องแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย เมื่อเลือกตั้ง “บัตรสองใบ” เพื่อไทยอาจจะพลิกเกมที่พลาดไปจากการเลือกตั้ง 2562 ได้
เพราะครั้งนั้นเหลือบัตรเลือกตั้งใบเดียว และบางทีผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องกลั้นใจเลือกระหว่างเพื่อไทย-อนาคตใหม่ เมื่อเห็นว่าเพื่อไทยได้คะแนนเยอะแล้วอาจไปเลือกอนาคตใหม่ ดังนั้น เมื่อเปลี่ยนกติกามาเป็น “บัตรสองใบ” ผลก็อาจไม่ออกมาแบบเดิม
แต่ตอนนี้พรรคพลังประชารัฐมั่นใจในการใช้ระบบบัตรสองใบ เพราะพรรคเพื่อไทยอ่อนลงเยอะ
ขณะที่ “ก้าวไกล” ไม่ต้องการบัตรเลือกตั้งบัตร 2 ใบแยกกันแบบนี้ แต่อยากได้ระบบบัตรสองใบแบบเยอรมนี แบบ MMP เพราะก้าวไกลได้ประโยชน์จากระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียว และระบบ MMP มากกว่าระบบเลือกตั้งปี 2540-2550 ที่เพื่อไทย พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ อยากได้
สูตรเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ยังคงเป็นอมตะคลาสสิกเสมอ ที่นักการเมืองอยากได้-โปรดปรานมากที่สุด