อ.ปริญญา ยัน ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับอนุญาตปล่อยชั่วคราว-ประกันตัว

จานปริญญายันผู้ต้องหามีสิทธิประกันตัว

อ.ปริญญา กางกฎหมาย ชี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว-ประกันตัว 

วันที่ 28 เมษายน 2564 ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ และ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงมีการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย และควรจะแก้ไขอย่างไร รายละเอียดมีดังนี้

รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดอันแสดงว่าบุคคลใดกระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้”

ดังนั้น ผู้ต้องหาหรือจำเลยจึงต้องมีสิทธิได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว หรือได้รับการประกันตัว เพื่อให้ไม่ติดคุกก่อนศาลพิพากษาและสามารถสู้คดีนอกคุกได้ ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 107 ก็ได้บัญญัติเป็นหลักไว้โดยสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญว่า “ผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว”

การไม่ปล่อยชั่วคราวจึงเป็นเรื่องยกเว้น และต้องเข้าเหตุใดเหตุหนึ่งที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ดังต่อไปนี้เท่านั้น จึงจะไม่ปล่อยชั่วคราวได้

“(1) ผู้ต้องหาหรือจําเลยจะหลบหนี

(2) ผู้ต้องหาหรือจําเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

(3) ผู้ต้องหาหรือจําเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น

(4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ

(5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดําเนินคดีในศาล”

การที่ศาลท่านไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวด้วยเหตุผลอื่น อันได้แก่ “คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง” และ “หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยอาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก” (คำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 -โปรดดูภาพประกอบ) จึงไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1

คำถามที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง คือ ทำไมผู้พิพากษาในคดีนี้ ท่านจึงไม่ยึดถือมาตรา 107 และมาตรา 108/1 ในการพิจารณาเรื่องนี้? อีกทั้งคำสั่งไม่ปล่อยชั่วคราว ก็เขียนเป็นลายมือ หรือพิมพ์ลงในคำร้อง ทั้ง ๆ ที่มาตรา 108/1 วรรคสอง กำหนดไว้ว่า หากศาลมีคำสั่งไม่ปล่อยชั่วคราว จะต้องแจ้งเหตุที่ไม่ปล่อยชั่วคราวให้ผู้ต้องหาหรือจําเลยทราบเป็นหนังสือ ทำไมจึงเกิดการไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างชัดเจนเช่นนี้?

คำตอบของเรื่องนี้จะทำให้เราประหลาดใจ หรืออาจจะถึงขั้นตกใจด้วยซ้ำ เรื่องของเรื่องคือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 107 ที่บัญญัติว่า “ผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว” นั้น เพิ่งจะถูกแก้ไขให้มีข้อความดังกล่าวนี้ในปี พ.ศ.2547 ก่อนหน้านั้นมาตรา 107 เขียนไว้แต่เพียงว่า “เมื่อได้รับคำร้องให้ปล่อยชั่วคราว ให้เจ้าพนักงานหรือศาลรีบสั่งโดยอาศัยหลักเกณฑ์ในหกมาตราต่อไปนี้” (ดูภาพประกอบ) และมาตรา 108/1 ก็เพิ่งจะถูกเติมเข้าไปจากการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในปี พ.ศ.2547 เช่นกันครับ

นั่นหมายความว่า มีความเป็นไปได้ว่าศาลท่านอาจจะไม่ทราบว่ามาตรา 107 มีการแก้ไขให้ “ผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว” คือการปล่อยชั่วคราวได้กลายเป็นหลักและการไม่ปล่อยชั่วคราวเป็นเรื่องยกเว้นไปแล้ว และทำนองเดียวกันท่านก็อาจจะไม่ทราบว่ามีมาตรา 108/1 เป็นมาตราใหม่ในเรื่องนี้แล้ว เพราะตอนที่ท่านเรียนนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 107 ไม่ใช่แบบปัจจุบันนี้ และมาตรา 108/1 ก็ยังไม่มีครับ

ท่านอ่านแล้วอาจจะเห็นต่าง เพราะไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ที่ศาลท่านจะไม่รู้ว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีการแก้ไขแล้ว ผมก็เห็นด้วยว่าไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ด้วยความเคารพ กฎหมายคือสิ่งที่ศาลท่านต้องใช้ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 188 ว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย” โดย “มีอิสระ ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง”

การไม่ปล่อยชั่วคราวที่ไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นเรื่องที่มีปัญหามากในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความเชื่อถือศรัทธาของผู้คนที่มีต่อศาลและกระบวนการยุติธรรม เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ผู้คนไปยืนเรียกร้องหน้าศาลฎีกาเป็นจำนวนมากและอย่างต่อเนื่องเช่นนี้มาก่อนเลย แล้วก็กำลังจะกระทบเลยเถิดไปมากกว่านั้น เพราะคนจำนวนไม่น้อยมีความเชื่อว่ามีใบสั่งมาให้ศาลทำเช่นนี้ ซึ่งทำให้สถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีกครับ

วิธีแก้ไข ก็คือต้องยึดมาตรา 107 และ 108/1 ในการดำเนินการเรื่องปล่อยชั่วคราว หากศาลท่านกังวลว่าปล่อยชั่วคราวแล้วจะเกิดปัญหา หรือความเสียหายใด ท่านก็สามารถใช้มาตรา 108 วรรคสาม ซึ่งเพิ่งแก้ไขในปี พ.ศ.2558 ที่บัญญัติว่า “ศาลจะกําหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับที่อยู่หรือเงื่อนไขอื่นใดให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิบัติ

หรือในกรณีที่ผู้นั้นยินยอมจะสั่งให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถใช้ตรวจสอบหรือจํากัดการเดินทางของผู้ถูกปล่อยชั่วคราวก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการหลบหนี หรือภัยอันตราย หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ..”

“เงื่อนไขอื่นใด” ในมาตรา 108/1 คือจะกำหนดอะไรก็ได้ทั้งสิ้น และหากท่านเห็นว่า “ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” และจึงยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวทุกครั้ง ผมใคร่ขอเสนอว่าสุขภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมได้แล้วครับ หรือหากพบว่า คำสั่งเดิมไม่ถูกต้องหรือไม่สอดคล้องกับกฎหมาย ก็เป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ เพราะศาลต้องพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายครับ

ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะกระทำผิดจริงตามข้อหาหรือไม่ เป็นอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาล แต่การปล่อยชั่วคราวเป็นสิทธิของผู้ต้องหาและจำเลยทุกคนไม่ว่าจะเป็นคดีใดครับ เพราะในคดีอาญาเราต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และจะปฏิบัติกับเขาแบบผู้กระทำผิดก่อนที่จะมีคำพิพากษาไม่ได้ นี่คือสิทธิพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองพวกเราทุกคนครับ

#การไม่ปล่อยชั่วคราวเป็นข้อยกเว้น ที่ต้องมีเหตุตามมาตรา 108/1 เท่านั้น…

โพสต์โดย Prinya Thaewanarumitkul เมื่อ วันพุธที่ 28 เมษายน 2021

 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ช่วงบ่ายวันนี้ แม่และทนายความของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” จะเดินทางไปร้องขอศาลอาญา หวังประกันตัวลูกชายอีกครั้ง เพื่อนำตัวมารักษาเองที่โรงพยาบาลอื่น เนื่องจากไม่อยากให้รักษาที่โรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ เนื่องจากเพนกวินอดอาหารมาแล้ว 44 วัน ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2564 หลังศาลอาญานัดตรวจพยานหลักฐานคดีแกนนำราษฎร ปักหมุดคณะราษฎร ที่สนามหลวง และตัดสินไม่ให้ประกันตัว