เขย่าขุนศึก “พลังประชารัฐ” สับเปลี่ยนกำลัง-เลขาธิการพรรค

คดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน จังหวัดนครราชสีมา กลายเป็น “ตัวเร่ง” การ “ปรับทัพใหญ่” ภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไปโดยอัตโนมัติ

วิรัช-ทัศนียา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ส.ส.นครราชสีมา เขต 7 พรรคพลังประชารัฐแห่งบ้านใหญ่รัตนเศรษฐ ตกเป็น “ผู้ถูกกล่าวหา” คดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จังหวัดนครราชสีมา เขต 2

ล่าสุด “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” อัยการสูงสุดได้มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง “วิรัชกับพวก” ในคดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอลในจังหวัดนครราชสีมา โดยรวม 7 สำนวน เป็น “คดีเดียว”

ขณะนี้อัยการพิเศษ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตอยู่ระหว่าง “ร่างคำฟ้อง” ใกล้สะเด็ดน้ำ ก่อนเสนอให้อัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณา “เซ็นคำสั่งฟ้อง” ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในเดือนมิถุนายน 2564

มือกฎหมายทำเนียบ-พลังประชารัฐ “ฟันธง” เป็นเสียงเดียวกันว่า “รอดยาก” แต่ยังพอ “ประวิงเวลา” พลิกตำรา-กางข้อกฎหมาย “งัดไม้เด็ด” พยาน-หลักฐาน เพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาล

เพราะทันทีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง “ประทับรับฟ้อง” ต้อง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” จนกว่าจะมีคำพิพากษา เว้นแต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

เป็นการ “เปิดช่อง” ให้ใช้ “แท็กติก” โดยหวังให้ “ดุลพินิจ” ออกมา “เป็นบวก” ดึงเกมยาว

แผนสำรอง-ตั้งรับและรุก หาก “วิรัช” ในฐานะผู้คุมเสียงฝ่ายรัฐบาล ต้องเว้นวรรคจากการเป็น “ประธานวิปรัฐบาล” โดย “แคนดิเดต” ต้องมีคุณสมบัติ “ประนีประนอม-มือประสานสิบทิศ” ได้ทั้งกับพรรคร่วมรัฐบาล-พรรคร่วมฝ่ายค้าน

ขณะที่ “ทัศนียา” หากต้อง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” ส.ส.ทันทีเช่นเดียวกัน จึงต้องเตรียม “ตัวตายตัวแทน” เพื่อลง “เลือกตั้งซ่อม” ก่อนเวลาอันควร หรือ “มองข้ามชอต” ไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า

อีก 1 เก้าอี้สำคัญในพรรคพลังประชารัฐ คือ ตำแหน่งเลขาธิการของ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ที่ถูกเลื่อยขาเก้าอี้ เขย่า-ขย่มรายวัน

โดยมี “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า “เส้นเลือดใหญ่” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ “นอนมา” โดยได้รับ “ภารกิจสำคัญ” เบียดไหล่ “เลขาธิการพรรค” อย่างหัวหน้าศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 (ศปฉ. พปชร.) ซึ่งนับวันสปอตไลต์การเมืองสาดส่องมาที่ “ร.อ.ธรรมนัส” ที่เปรียบเป็น “เงา” การเมืองของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ยิ่ง ร.อ.ธรรมนัส “พ้นมลทิน” ขาดคุณสมบัติ-ลักษณะต้องห้ามการเป็น ส.ส.และรัฐมนตรี จากคำพิพากษาศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ เครือรัฐออสเตรเลีย ตัดสินจำคุกคดียาเสพติด ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยยึดหลักอำนาจอธิปไตย

ยิ่งทำให้ “ผู้กองธรรมนัส” เฉิดฉาย แม้ยังมี “ข้อกังขา” โดยมีตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการ” เป็นบันไดอำนาจขั้นต่อไป

แต่ใช่ว่าจะ “เป็นเลขาธิการพรรคและจะได้เป็นเก้าอี้ว่าการ” เพราะสุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับ “พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว และ พล.อ.ประยุทธ์ “แยกออกจากกันเด็ดขาด” ระหว่างเรื่องฝ่ายบริหารกับพรรคการเมือง

นอกจากนี้ “พล.อ.ประยุทธ์” คงต้อง “ชั่งน้ำหนัก” ได้-เสีย หากยอมเสี่ยงให้ “เสถียรภาพ” ของรัฐบาล “สั่นคลอน” เพราะ “คนคนเดียว” ซ้ำเติมวิกฤตศรัทธาโควิด-19

เป็น 2 เก้าอี้ใหญ่ หนึ่ง เลขาธิการพรรค และสอง ประธานวิปรัฐบาล รวมถึง 2 เสียงในสภาที่จะหายไป และเตรียมการเลือกตั้งซ่อม-เลือกตั้งใหญ่

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สาม “หนักหน่วง” กว่าที่คาดการณ์ ทำให้การประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐต้อง “เลื่อนออกไป”

แต่ล่าสุดกำหนดประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐ “ปักหมุด” ไว้ที่จังหวัดขอนแก่น วันที่ 18 มิถุนายน 2564 โดยมีการ “ปรับใหญ่” โครงสร้างบริหารพรรค ทั้งกรรมการบริหาร (กก.บห.) และเลขาธิการพรรค ตรงช่วงเวลาที่ “พล.อ.ประวิตร” รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคครบ 1 ปีพอดี

นอกจากพลังประชารัฐจะ “ปรับทัพ” แล้ว ยัง “เสริมทัพ” อย่าง “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” นักร้องฝ่ายค้าน และการดึง-ดูด ส.ส.มาจากพรรคเพื่อไทย

พลังประชารัฐถึงเวลา “ปรับทัพใหญ่” เพื่อ “เปลี่ยนจากรับเป็นรุก”


รับอุบัติเหตุไม่คาดฝัน-เลือกตั้งครั้งหน้า