ยิ่งชีพ : ระบอบประยุทธ์ตกต่ำที่สุด ต้องแสดงพลัง ให้พรรคทหารไม่มีที่ยืน

สัมภาษณ์พิเศษ

เป็นความพยายามของภาคประชาชนครั้งที่ 2 เข็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเข้าสู่สภาในรอบไม่ถึง 1 ปี หลังจากครั้งแรกรัฐสภาคว่ำร่างแก้รัฐธรรมนูญของไอลอว์อย่างไม่เหลือใย

มาคราวนี้รัฐธรรมนูญภาคประชาชน เสนอโดยกลุ่ม Re-Solution มาจากการรวมกลุ่มของ 3 กลุ่ม คือ คณะก้าวหน้า ที่มี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ปิยบุตร แสงกนกกุล” เป็นแกนนำกลุ่ม Collab รัฐธรรมนูญก้าวหน้า มี “พริษฐ์ วัชรสินธุ” เป็นหัวหอกและไอลอว์

ปักธงแคมเปญ “ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์” ทั้งปิดสวิตช์อำนาจ ส.ว.โหวตนายกรัฐมนตรี-นายกฯต้องเป็น ส.ส.-ยุบ ส.ว.-รื้อโครงสร้างองค์กรอิสระ และล้างผลพวงจากการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

“ยิ่งชีพ อัชฌานนท์” ผู้จัดการไอลอว์ ที่เคยนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรีเซนต์ต่อรัฐสภาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ได้เข้าร่วมขบวนการล่ารายชื่อนับแสน ยื่นแก้รัฐธรรมนูญอีกครั้ง

ท่ามกลางขุมกำลังระบอบประยุทธ์ที่เข้มแข็งโดยเฉพาะ ส.ว. 250 คน และจำนวนเสียงในสภาที่กุมความได้เปรียบฝ่ายค้าน แม้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้นำสูงสุดของระบอบจะมีความนิยมดิ่งเหวแล้วก็ตาม เป้าหมายการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญของ Re-Solution คืออะไร

“ยิ่งชีพ” กล่าวว่า ต้องการให้ผ่าน ส่วนจะเป็นไปได้หรือไม่…ไม่ทราบเหมือนกัน เหมือนกับพยายามทุกครั้ง รวมทั้งครั้งก่อนด้วย เรามีหน้าที่ของเรา เราก็เสนอไป ส่วนเสนอไปแล้วเขา (รัฐสภา) ไม่รับ เขาก็ต้องอธิบายเหตุผลให้ได้

ในรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเสนอ ฉบับที่แล้วมีการเสนอเซตซีโรศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ เราเสนอให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับด้วย แต่ ส.ว.ออกมาอภิปรายดาหน้ากัน 4-5 คนว่าเขาไม่เห็นด้วยที่จะให้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เขียนได้ทุกมาตราไม่แตะหมวด 1 หมวด 2

“การยื่นคราวนี้ไม่ได้เสนอเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่เกี่ยวกับหมวด 1 หมวด 2 ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่รับก็เป็นภาระของเขาที่จะต้องอธิบายเอง”

Re-Solution ไม่สุดโต่ง

ทว่า ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ Re-Solution มีทั้งปิดสวิตช์ ส.ว.ให้ดำเนินคดีต่อคณะทหารหรือคณะบุคคลที่ก่อรัฐประหารนั้นโดยทันที และปราศจากอายุความ ถือว่าสุดโต่งในสถานการณ์ขณะนี้หรือไม่

“ยิ่งชีพ” กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันข้อเสนอนี้ไม่ได้สุดโต่งเกินไป ที่ดูเป็นไปไม่ได้ก็เป็นความผิดของรัฐธรรมนูญ 2560 เองที่บอกว่าจะปิดสวิตช์ ส.ว.ได้ก็ต้องให้ ส.ว.อนุมัติ ถ้าเทียบกันร่างรัฐธรรมนูญที่ไอลอว์เสนอคราวก่อนสุดโต่งกว่า

คราวที่แล้วเสนอเป็นแพ็กเกจ คือ รื้อถอนระบอบ คสช.นำไปสู่การเลือกตั้ง ส.ว. เลือกตั้ง ส.ส.ร. เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด พอจะมองเห็นเส้นทางรัฐธรรมนูญในอีก 4-5 ปีข้างหน้าว่าการเมืองจะเดินไปอย่างไร ซึ่งแบ่งเป็น 3 ขั้น คือ รื้อถอนอำนาจ คสช. สร้างหนทางกลับสู่ประชาธิปไตย และเขียนรัฐธรรมนูญใหม่

“แต่ฉบับนี้คิดเฉพาะหน้ากว่า เอาแค่สเต็ปเดียว คือ รื้อถอนอำนาจ คสช.อย่างเดียว สิ่งที่ฉบับนี้จะ radical กว่าคือยกเลิก ส.ว.ไปเลย เอาสภาเดี่ยว”

นักการเมืองไม่จริงใจ

นาทีนี้ “ยิ่งชีพ” มองว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของ ส.ส.-นักเลือกตั้งอาชีพที่ทำอยู่ในรัฐสภา ไม่จริงใจหลายอย่าง

“ตัวอย่างเช่น สิ่งที่แสดงให้เห็นความไม่จริงใจอย่างก้าวไกลไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นการรื้อถอนอำนาจ คสช.โดยตรง คือแก้ไขมาตรา 279 ในร่างแก้ไขฉบับที่ 5 ภูมิใจไทยเป็นคนร่วมยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 เรื่องบัตรเลือกตั้ง 2 ใบด้วยกัน ก็โหวตไม่รับเอง”

“พลังประชารัฐแปลก ๆ กลายเป็นโหวตให้ปิดสวิตช์ ส.ว. ส่วน ส.ว.ไม่รับร่างแก้ไขของพลังประชารัฐ ส.ว.บางคนโหวตให้กับร่างแก้ไขฉบับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้รับร่างของพรรคเพื่อไทยเรื่องระบบเลือกตั้ง ทั้งที่ของเพื่อไทยเขียนชัดเจนกว่า เป็นเกมการเมืองมากกว่าเนื้อหา”

“ระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองหลายพรรคคุยกันรู้เรื่องว่าแก้ตรงนี้ต่างคนต่างได้ อาจจะได้แก้ แต่ก็เป็นไปได้อีกว่าอาจจะไม่ผ่านก็ได้ แต่ไม่ได้มีเจตจำนงร่วมกันที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชน หรือเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จริง ๆ”

แต่ขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกลที่ Re-Solution เดินเกมคู่ขนาน มีการชงสูตรเลือกตั้งแบบเยอรมันโมเดลจนถูกวิจารณ์ว่าก้าวไกลได้เปรียบ

ก้าวไกลก็ได้ประโยชน์จริง ๆ แต่ร่าง Re-Solution ไม่ได้ไปแตะ จึงไม่เกี่ยวกับก้าวไกล แต่ชัดเจนอยู่แล้วว่าพรรคไหนได้ประโยชน์จากระบบไหนก็เชียร์ระบบนั้น เช่น พรรคภูมิใจไทยได้ประโยชน์จากบัตรใบเดียวเขาก็ไม่โหวตไม่แก้ระบบเลือกตั้ง แต่พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐต้องการเป็นพรรคใหญ่ก็จะเอาระบบปี 2540 ใครอยากไประบบไหนก็แก้ไปทางของตัวเอง

ถาม “ยิ่งชีพ” ว่า หวังนักการเมืองที่จะโหวตให้ร่าง Re-Solution บ้างไหม เขาตอบว่าไม่หวังในวันนี้ แต่การเมืองก็เดินหน้า ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง ยังมีความหวังอยู่ว่าคนที่คิดได้จะมีมากขึ้น จะเยอะขึ้นตามวันเวลาที่เดินไป

ระบอบประยุทธ์อ่อนแอที่สุด

“เวลานี้ระบอบประยุทธ์อ่อนแอที่สุดตั้งแต่ยึดอำนาจมา 2557 ในทางความชอบธรรม การยอมรับจากประชาชน ต้องยอมรับว่ามีบางช่วงบางเวลาที่เขาเข้มแข็งและประชาชนค่อนข้างสนับสนุนมากกว่าปัจจุบัน คนต่อต้านกับคนสนับสนุนอันไหนมากกว่ากัน…ไม่ทราบ แต่กระแสรัฐบาลประยุทธ์เคยดีกว่านี้ ตอนนี้ตกต่ำที่สุดแล้ว”

“เพียงแต่การรื้อระบอบประยุทธ์มันมากกว่านั้น หลายคนอาจรู้สึกว่ารัฐบาลหรือผู้นำประเทศไม่ไหว แต่ที่เป็นปัญหาคือโครงสร้าง ตัวระบอบ เช่น การมีอยู่ของ ส.ว. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญที่เขาเลือกมา เป็นองค์ประกอบของระบอบประยุทธ์ทั้งหมด มันก็เป็นเรื่องที่ต้องผลักดันว่าเวลาเราจะรื้อระบอบประยุทธ์ต้องไปทั้งระบอบ ไม่ใช่แค่ตัวบุคคล การปิดสวิตช์ ส.ว.เป็นความสำคัญลำดับต้น ๆ” ยิ่งชีพกล่าว

“ใน-นอกระบบ” ล้มประยุทธ์

ขณะเดียวกัน การขุดรากถอนโคน “ล้มระบอบประยุทธ์” ไม่อาจสำเร็จได้ชั่วข้ามคืน หาก ส.ว.ไม่ถูกปิดสวิตช์อำนาจในการโหวตนายกฯ โอกาสเปลี่ยนตัวนายกฯเป็นไปได้หรือไม่ “ยิ่งชีพ” กล่าวว่า เปลี่ยนได้ไหม..ไม่รู้ แต่ ส.ว.ปัจจุบันจะหมดอายุใน 3 ปีข้างหน้า ส.ว.ชุดใหม่จะดีกว่านี้หรือเปล่าไม่รู้ เพราะถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และอีกไม่เกิน 2 ปีก็ต้องเลือกตั้ง

“ในระหว่างที่เราไม่พอใจแล้วเราเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง โดยการส่งเสียงเรียกร้องต่าง ๆ เราต้องมองกลไกในระบบที่มันเดินไปด้วย ถ้าหากเราส่งเสียงเรียกร้องเดินหน้าพร้อมกันไปทั้งในระบบและนอกระบบก็เป็นไปได้”

หากปิดสวิตช์ ส.ว.ไม่สำเร็จ “ยิ่งชีพ” เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งปี 2566 โอกาสที่นายกฯยังเป็น พล.อ.ประยุทธ์มีความเป็นไปได้มาก

“แต่ไม่ว่าจะได้ระบบเลือกตั้งไหน และการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่รู้จะมีเมื่อไหร่ เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ลำบากกว่าปี 2562 ซึ่งกว่าจะเข็นกันมาได้ ต้องทำอะไรหลายอย่างมาก พรรคพลังประชารัฐต้องมีทางเลือกอื่น ๆ เช่น เสนอเชื่อนายกฯหลายคน มีทางหนีทีไล่หลายแบบ”

“และหากว่าเสียงของคนที่จะเอา พล.อ.ประยุทธ์ไม่พอจริง ๆ ก็อาจจะมีโอกาสที่ไปจับมือกับพรรคอื่น แต่ต้องมีวันที่คนมีความกล้าจะโหวตอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ประยุทธ์ ที่มากเพียงพอกว่าทุกวันนี้ ถ้าระบบบ้านเมืองปกติก็คือชนะ 251 ต่อ 249 ก็คือชนะ ก็เดินไปตามนั้น แต่เมื่อระบบไม่ปกติ การชนะเพียง 2 ต่อ 1 ก็ยังไม่พอ”

สมมุติว่ามีพรรคไม่เอาประยุทธ์ได้ 400 ที่นั่ง พรรคเอาประยุทธ์ 100 ดีไม่ดีอาจจะไม่พอที่จะเปลี่ยนได้ ต้องถล่มให้มากกว่านั้นอีกก็จำเป็น ซึ่งเป็นไปได้อย่างพม่าแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าเลือกตั้งจนพรรคของทหารไม่มีที่ยืนอีกแล้วในสภาได้ จนทหารต้องรัฐประหารไปอีกรอบหนี่ง

“ส่วนไทยจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าไม่รู้ แต่โอกาสที่เรามีเราต้องทำภาพนั้นให้ได้ก่อน แต่ถ้าผลการเลือกตั้งชนะกันบ้าง ชนะกันไม่ขาดอยู่เรื่อย ๆ แบบนี้ด้วยกลไกพลังลึกลับที่เขามี ก็มีโอกาสที่เขาจะกลับมาอีกได้อยู่แล้ว”

“ยิ่งชีพ” มองปลายทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ไม่จบเร็ว ๆ นี้แน่นอน ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองไปอีกนาน

…จนกว่าจะถึงวันที่เราเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งมีที่มาอันชอบธรรมได้