
นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์จุดเปลี่ยนรัฐบาล “ประยุทธ์” อ่านเกมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ทำไมต้องมี “เยื่อใย” พลังประชารัฐ
วันที่ 19 สิงหาคม 2564 ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ทางช่อง MCOT HD กรณีฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมรัฐมนตรี อีก 5 คน และกรณีสารพัดม็อบชุมนุมขับไล่นายกฯ
ม็อบแค่เลี้ยงกระแส
ดร.สติธร มองว่า สองปัจจัยดังกล่าวยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะนำไปสู่จุดตายของรัฐบาล เป็นเพียงตัวเร่งปฏิกิริยาและเลี้ยงกระแสเท่านั้น
นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า อธิบายคำว่า “เลี้ยงกระแส” ว่า รัฐบาลอาการร่อแร่มาสักพักใหญ่แล้ว จากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลักพันถึงหลักหมื่น ซึ่งดูไม่น่าจะไปรอดแต่ก็รอดมาถึงทุกวันนี้ ดังนั้น ลำพังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งข้อกล่าวหามุ่งไปที่วิกฤตโควิด และความผิดพลาดในการบริหารจัดการที่เกิดขึ้น เพื่อใช้เป็นอาวุธในการอภิปราย จึงเป็นเพียงการตอกย้ำความผิดพลาดของรัฐบาล
“ต้องยอมรับว่า จุดเปลี่ยนมันเปลี่ยนไปได้ไม่ไกล คือจุดเปลี่ยนไกล ๆ เช่น การยุบสภา มันไม่เกิดขึ้นแน่ ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครเขายุบสภากัน เพราะมันเท่ากับซ้ำเติมสังคม หรือจะเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนแบบรัฐประหาร ผมคิดว่าสังคมไม่ตอบรับแน่ เพราะฉะนั้นจึงไกลสุดได้แค่นายกฯลาออก พอนายกฯลาออก เลยทำได้แค่เข้าสู่กระบวนการเลือกนายกฯใหม่
ซึ่งการเลือกนายกใหม่ กติกาเราก็ทราบกันดี คนที่กุมหัวใจ ส.ว. 250 ไว้ได้ และมี ส.ส. อีกสัก 120 คน สนับสนุน ก็เพียงพอที่จะได้กลับมาเป็นนายกฯได้ สถานการณ์แบบนี้ทำให้ฝ่ายค้านโดยเฉพาะเพื่อไทย มองว่ามันไม่ใช่จุดแตกหัก สู้เอาเก็บไว้เป็นโอกาสเปลี่ยนรัฐบาล สมมติว่าเกิดเปลี่ยนจริง ๆ แน่นอนว่าจุดเปลี่ยนคือโควิด เพราะคนจับตา วันนี้เราชินกับเลข 2 หมื่น แต่ถ้าสักพักทะลุ 5 หมื่น ผู้เสียชีวิตไปถึงหลักพัน รัฐบาลอาจไม่ต้องรออภิปรายไม่ไว้วางใจ อาจจะต้องไปเอง”
ดร.สติธร กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่พรรคฝ่ายค้านจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลไม่มีพลังเพียงพอ สุดท้ายจำเป็นต้องบวกกับพรรคพลังประชารัฐ ถ้าพรรคเพื่อไทยจะตั้งรัฐบาล ด้วยสมการทางการเมืองและสถานการณ์ หากสถานการณ์วิกฤตมากขึ้น ประชาชนอาจจะอยากเห็นรัฐบาลแห่งชาติ
“ประยุทธ์” ลาออกแล้วไม่กลับมา
ต่อคำถามเรื่องเงื่อนไขในการตั้งรัฐบาลแห่งชาติของพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่ปฏิเสธการจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ต้องไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ดร.สติธร มองว่า หากถึงจุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกเพราะสถานการณ์ ตนคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่กล้ากลับมา
เมื่อพิธีกรตั้งข้อสังเกตเรื่องอาการของแกนนำฝ่ายค้าน เช่น พรรคเพื่อไทย ซึ่งดูจะซักฟอกแบบยั้งมือและมีเยื่อใย ดร.สติธร ตอบว่า เป็นการมองแบบระยะยาว ที่ได้คุยกันก่อนหน้านี้เป็นระยะสั้น หากเกิดอุบัติเหตุใหญ่ทางการเมืองและนายกฯต้องลาออกและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่หากมองข้างหน้าในอีกปีกว่า เช่น ต้นปี 2566 จะต้องเลือกตั้งใหม่
“เพราะฉะนั้นการที่จะมีเยื่อใยกับกลุ่มก้อนทางการเมืองต่าง ๆ เพื่อเปิดประตูไปสู่การแข่งขันที่สนามเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งก็ต้องคาดหวังว่าจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าปี 2562 แต่อย่างไรก็ไม่น่าจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ สุดท้ายอาจจะต้องมีการประนีประนอมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคอื่น ๆ เพราะกติกาเลือกตั้งปี 2566 ก็ยังเป็นกติกาเดิม ยังคงไว้ซึ่ง ส.ว. 250 เสียงอยู่”
ดร.สติธร กล่าวว่า การชุมนุมเป็นเพียงการเร่งปฏิกิริยาทางการเมือง จะเห็นว่าม็อบขับเคลื่อนมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว และจังหวะยังมีการขยับขึ้นลงเป็นระยะ เพราะฉะนั้นในระยะนี้มีการถอดบทเรียนเป็นรางวัลอยู่แล้ว ณ จุดนี้อาจจะต้องคุยกันว่าเป็นการต่อสู้ระยะยาวแล้ว ดังนั้นถ้าเป็นเกมยาว จะต้องมีการเร่งปฏิกิริยาในการขับเคลื่อน เมื่อจังหวะฝ่อลง
“จุดเปลี่ยนมันต้องไปเปลี่ยนที่ตัวระบบด้วย มันเปลี่ยนนอกระบบอย่างเดียวไม่พอ” ดร.สติธรกล่าวปิดท้าย
แผนตี “ประยุทธ์” คนเดียว
ก่อนหน้านี้ ดร.สติธร ประเมินให้ “ประชาชาติธุรกิจ” ฟังว่า ถ้าจะล้มรัฐบาล ควรตี พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว แล้วชวนพรรคร่วมรัฐบาลมาล้ม แต่ถ้าตี (อภิปรายไม่ไว้วางใจ) พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคพร้อมกัน จะล้มยาก เพราะยุทธวิธีนี้บีบให้พรรคร่วมรัฐบาลรวมตัวกัน และยกมือให้กัน กลายเป็นช่วยกันไปอีก
นักวิชาการผู้เกาะติดขอบเวทีการเมือง วิเคราะห์ด้วยว่า ในระยะยาว หากมีเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็จะไม่ปิดโอกาสกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ปิดโอกาสเดียวคือไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ วางยุทธศาสตร์ไว้ ไม่เอา 3 ป. แต่ไม่ได้ปฏิเสธการเมืองฝ่ายตรงข้าม 100%
สาเหตุที่เลือกแผนนี้ เพราะตั้งใจให้พรรคร่วมรัฐบาลอยู่ด้วยกันไม่ได้ เป็นการเลือกตัวละครให้ฝ่ายรัฐบาลระแวงกันเอง ต้องมีการต่อรองกันมากขึ้น และหวังว่าหากเขาต่อรองไม่ลงตัว เขาจะแตกคอกัน