ขั้วอำนาจใหม่ประชาธิปัตย์เขย่า “เซฟโซน”

พรรคประชาธิปัตย์

ศึกชิงพื้นที่ ส.ส.เขต-ทำเลทองของพลพรรคค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม-ประชาธิปัตย์ ดุเดือด-เผ็ดร้อน จนนายหัวชวน-ชวน หลีกภัย ต้องส่งไลน์เข้ากลุ่ม ส.ส.- อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ หย่าศึกคนในพรรค

“ผมเป็นหนี้บุญคุณประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ผมชนะการเลือกตั้งทุกสมัยอย่างมีเกียรติ”
เป็นการ “เตือนสติ” ผู้บริหารพรรค-ขั้วอำนาจใหม่ที่คิด “เดินทางผิด” จนอุดมการณ์พรรค 75 ปี ต้อง “ถอยหลังลงคลอง”

ทว่า “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” หัวหน้าพรรคยังมอง “โลกสวย” เชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหา-มองเป็นด้านบวก
“หากย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้วจะเห็นว่าการหาตัวผู้สมัครของพรรค ยังอยู่ในภาวะที่มีคนปฏิเสธมาก อีกทั้งมีผู้ที่แสดงความจำนงจะไม่ลงสมัครหลายคน”

“เป็นเรื่องธรรมดา หากเขตไหนมีผู้ให้ความสนใจลงสมัครหลายคน ก็จะต้องมีการแย่งกันลง แต่ยืนยันเรื่องนี้จะไม่ทำให้เกิดรอยร้าวภายในพรรค พรรคยึดกระบวนการตัดสินใจแบบนี้มายาวนาน ไม่เช่นนั้นคงไม่ยั่งยืนมาได้ถึงวันนี้ ซึ่งที่สุดแล้วมติพรรคจะเป็นผู้ตัดสิน”

โดยเฉพาะสนามเลือกตั้งภาคใต้ที่มี “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทย-รองหัวหน้าพรรค “รักษาการภาคใต้” เป็นมือดึง-มือดีล เลือดใหม่-เลือดเก่าไหลกลับเข้าพรรค-เสริมทัพประชาธิปัตย์ เพื่อสู้ศึกการเลือกตั้งครั้งหน้า

ทว่าในความเป็นจริง “ขั้วอำนาจใหม่” ที่เข้ามากุมอำนาจภายในประชาธิปัตย์ “ไม่ Ok” กับ “ขั้วอำนาจเก่า” และต้องการส่ง “คนของตัวเอง” ลงมา “เบียดที่” โดย “ไม่ให้เกียรติ” คนเก่า จนเกิดแรงกระเพื่อม-รอยร้าวในพรรค
พื้นที่ภาคใต้จึง “ร้อนระอุ” ขึ้นมาทันควัน เมื่อพัทลุง ที่มี “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีต ส.ส.พัทลุง 8 สมัย-รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ 3 สมัย ถูก “ข้ามหัว” ส่งคนมา “ยึดที่”

ตลอด 3 ปีหลังจาก “นิพิฎฐ์” พ่ายแพ้การเลือกตั้ง แต่เขายัง “ยืนแลกหมัด” กับ “ตระกูลรัชกิจประการ” ชนิด “ถึงพริกถึงขิง” และ “กัดไม่ปล่อย” ทั้งก่อน-ระหว่าง และหลังเลือกตั้ง

จนล่าสุด เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2564 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกคำสั่งให้ นายภูมิศิษฎ์ คงมี ส.ส.เขต 1 พัทลุง พรรคภูมิใจไทย กับนายฉลอง เทิดวีระพงศ์ ส.ส.เขต 2 พัทลุง พรรคภูมิใจไทย “หยุดการปฏิบัติหน้าที่” กรณี “เสียบบัตรแทนกัน” ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท

“อย่าเอาหมด อย่าสืบทอดทายาทอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เปิดทางให้ลูกชาวบ้านคนอื่นเป็นส.ส.บ้าง ไม่งั้นจะพังกันทั้งพรรค”อดีต ส.ส.พัทลุง 8 สมัย นิพิฏฐ์” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงผู้อำนาจในพรรคประชาธิปัตย์

ขณะที่ประชาธิปัตย์ “วางตัว” น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร อดีต ส.ส.พัทลุงลง เป็นว่าที่ ส.ส.พัทลุง เขต 1 และ นายนิติศักดิ์ ธรรมเพชร ลูกชาย “วิสุทธิ์ ธรรมเพชร” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พัทลุง เขต 2 แทน “นิพิฏฐ์” ส่วน ผู้สมัคร ส.ส.พัทลุง เขต 3 นายนริศ ขำนุรักษ์ อาจจะได้ลงในเขตพื้นที่เดิม

หลังจากนั้นปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมประชาธิปัตย์ก็ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด “ราเมศ รัตนเชวง” โฆษกพรรคที่ขอแสดงตัวลงเขตใหม่-พังงา เขต 2 เนื่องจากกติกาการเลือกตั้ง “บัตรสองใบ” ทำให้จังหวัดพังงามี “ที่นั่ง ส.ส.เพิ่ม” ที่อาจต้อง “หลีกทาง” ให้ นายบำรุง ปิยนามวาณิช อดีตนายก อบจ.พังงา “ราเมศ” โพสต์ข้อความ “ทิ้งปริศนา” ว่า ผมลูกพระแม่ธรณี เกิดแผ่นดิน “พังงา”

“อันวาร์ สาและ” ส.ส.ปัตตานี อดีตรองเลขาธิการพรรค มียืนอยู่ฝั่งทางความคิดกับ “ขั้วอำนาจเก่า” มาโดยตลอด แม้จะเป็น “เจ้าของพื้นที่” แต่ก็ยังลูกผีลูกคน – ต้องลุ้นว่า พรรคจะส่งลง “รักษาแชมป์” หรือไม่
ปรากฏการณ์ “แย่งลงเขต” ย้อนแย้งกับความมั่นใจของ “จุรินทร์” ประชาธิปัตย์อยู่ในช่วง “ขาขึ้น”

รวมถึง “ผลโพล” หลายสำนัก “ฟันธง” นายจุรินทร์ เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า ยิ่งพื้นที่ “เซฟโซน” ที่ “การันตี” เก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่อันดับที่ 1 – อันดับที่ 12 มี “จำนวนจำกัด” โนเนม-ขายไม่ได้ ไม่ใช่แม่เหล็กของพรรคยากที่จะไต่ขึ้นมาอยู่ในอันดับ “ท็อปเท็น”

สำหรับพื้นที่เซฟโซนของพรรคประชาธิปัตย์ ยึดตามโครงสร้างของพรรค ได้แก่ อันดับที่ 1 นายจุรินทร์ หัวหน้าพรรค อับดับที่ 2 นายชวน หลีกภัย อันดับที่ 3 นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อันดับ 4 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค อันดับที่ 5 – อันดับที่ 12 รองหัวหน้าพรรค รับผิดชอบแต่ละภาค

โอกาสจากกติกาเลือกตั้ง “บัตรสองใบ” ทำให้เก้าอี้ ส.ส.เขต เพิ่มขึ้นจาก 350 เขต เป็น 400 เขต ความสามารถเฉพาะตัวเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้ทรงเกียรติในสภาได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า