เลขาธิการพลังประชารัฐ คนที่ 4 นักเลือกตั้ง หัก นายพล-สายตรงบิ๊กป้อม

พลังประชารัฐ

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินมาถึงจุดเปลี่ยน (เลขาธิการพรรค พปชร.) อีกครั้ง หลังจาก “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” กับพวกรวม 21 ส.ส. กบฏ 19 มกราฯ “ขับตัวเอง” ออกจากพรรค-ไปตั้งพรรคใหม่-เศรษฐกิจไทย

แคนดิเดตเลขาธิการพรรค พปชร.คนที่ 4 ที่จะเข้ามาสมานบาดแผล-รอยร้าวภายในพรรค ขณะเดียวกัน ต้องมาเป็น “พ่อบ้านพรรค” เพื่อเตรียมสู้ศึกการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในอีกไม่ถึง 18 เดือน หรืออาจจะเร็วกว่านั้น

พ่อบ้านพรรค พปชร.คนใหม่จึงต้อง “ครบเครื่อง” ทั้งบู๊-บุ๋น เพื่อบริหารเสียงทั้งในพรรค-นอกพรรคไม่ให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่มีเสถียรภาพ-ง่อนแง่น พร้อมจะถูกโค่นกลางสภาได้ทุกเวลา

ขณะนี้เก้าอี้เลขาธิการพรรค พปชร.คนต่อไปมีทั้งคนในพรรค-คนนอกพรรคที่เหมาะสมที่จะมานั่งบนเก้าอี้ที่เปรียบเสมือนเป็น “ทุกขลาภ”

เต็งจ๋า-เต็ง 1 “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง ปัจจุบันกุมบังเหียนตำแหน่งผู้อำนวยการพรรค พปชร. หลังจาก “แยกวง” ออกจากกลุ่ม 4 ช. จนสุดท้ายแตกเป็นเสี่ยง

ขณะนี้ “สันติ” ยังขัดตาทัพเลขาธิการพรรค พปชร. แทน “ผู้กองธรรมนัส” อีกด้วย โดยมีคำสั่งตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2565 จนกว่าจะมีการเลือกตั้งเลขาธิการคนใหม่ รอเพียง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค แต่งตั้งอย่างเป็นทางการในที่ประชุมใหญ่พรรคประมาณเดือนเมษายน

เนื่องจากข้อบังคับพรรคข้อที่ 14 วรรคสอง กำหนดให้เลือกเลขาธิการพรรค พปชร. ภายใน 90 วัน หลังจาก ร.อ.ธรรมนัสพ้นจากสมาชิกพรรค

อย่างไรก็ตาม การ “ทอดระยะเวลา” ออกไปถึง 90 วัน จึงยังไม่มีอะไรการันตีว่า “สันติ” จะนอนมาโอกาสที่จะ “พลิกโผ” จึงเกิดได้ทุกเวลา

โดยเฉพาะ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ที่สร้างผลงานชิ้นโบแดง-เยือนซาอุดีอาระเบีย ประกบข้างกาย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ “สุชาติ” ขึ้นหม้อกลายเป็น “ลูก (น้อง) รัก” ของ พล.อ.ประยุทธ์ไปโดยปริยาย

ถึงแม้ “เสี่ยเฮ้ง” จะเป็น “นักรบที่มีบาดแผล” นำทัพปราชัยในสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สงขลา เขต 6 แต่ความพ่ายแพ้ไม่ได้ขาดลอย รวมถึงยังมีปัจจัยแทรกซ้อนจากกระแสดราม่า-วลีเด็ด “เลือกคนมีตังค์” ของ ร.อ.ธรรมนัส

จนทำให้จากที่ “ผลโพล” ประเมินว่าจะชนะ 5 พันคะแนน กลายเป็น “พลิกแพ้” 5 พันคะแนน

ตอกย้ำด้วย “หนอนบ่อนไส้-ไส้ศึก” จากการที่ “น้องโบ๊ต” อนุกูล พฤกษานุศักดิ์ อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สงขลา เขต 6 “โบกมือลา-หันหลัง” ให้กับพรรค พปชร. ไปซบ “คู่ปรับเก่า” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะออกมาปฏิเสธ-ยังอยู่กับพรรค พปชร.ก็ตาม

ขณะที่ “ม้ามืด” กลุ่มสามมิตรที่มีลุ้นที่จะ “เบียดเข้าป้าย” คือ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.อุตสาหกรรม ด้วยชื่อชั้น-เชิงเกมการเมืองครบเครื่อง-ไม่เป็นสองรองใคร เป็น “ตัวจ่าย” ทั้งในพรรค-นอกพรรค

อีก 1 สามมิตร “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เจ้าตัวปฏิเสธ “ไม่รีเทิร์น” หากกลับไปอำนาจการบริหารงานในฐานะแม่บ้านพรรคไม่เบ็ดเสร็จ

ส่วน “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม กาชื่อทิ้งตั้งแต่ยังไม่ลงแข่ง เพราะประกาศขอ “ถอนตัว” ชัด เหมือนกับรู้ล่วงหน้าว่า พล.อ.ประวิตรมีชื่อเลขาธิการพรรค พปชร.คนใหม่แล้วในใจ

ขณะที่ “คนในพรรค” คนอื่นที่พอจะ “เทียบรัศมี” กับ 1 ช.-1 ส. คือ “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ส.ส.สารพัดประโยชน์ที่เป็น “ท่อกลาง” ให้กับพรรค พปชร.

อย่างไรก็ดี “ขุนพลข้างกาย” พล.อ.ประวิตรมีทั้งคนในพรรค-นอกพรรค โดยเฉพาะ “นายพลนอกราชการ” ที่เป็น “น้องเลิฟ” บิ๊กป้อมที่อยู่ใน “คณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี” ล้วนแล้วแต่เป็น “สายตรงบิ๊กป้อม” ทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กณัฐ” พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ปัจจุบัน พล.อ.ประวิตรดึงมาเป็นประธานคณะทำงาน ติดตามและขับเคลื่อนนโยบาย แนวทางและมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน

“บิ๊กตู่เล็ก” พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ที่นั่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคเขตตรวจราชการที่ 7 (พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลง “พื้นที่สีแดง” แทน พล.อ.ประวิตร

“บิ๊กตุ๋ย” พล.ร.อ.พิเชษฐ ตานะเศรษฐ อดีตเสนาธิการทหารเรือ ที่ พล.อ.ประวิตรให้มาช่วยงานเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายภาคในพื้นที่ภาคใต้

“พล.อ.สุชาติ ผ่องพุฒิ” อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก มาช่วยงานเป็นหัวหน้าคณะทำงานกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เขตตรวจราชการที่ 1

แม้กระทั่ง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ที่ยังไม่แน่นอนว่าจะแยกกันเดินกับ พล.อ.ประวิตร มาเป็นหัวขบวนพรรคเศรษฐกิจไทยหรือไม่

ไม่นับ “บิ๊กแป๊ะ” พล.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ยอมถอนตัว ลงสมัครชิงผู้ว่าฯ กทม. เพื่อมาเป็นแขน-ขา ทายาททางการเมืองของ พล.อ.ประวิตรในอนาคต

การออกไปตั้งพรรคใหม่-พรรคเศรษฐกิจไทย ของ ร.อ.ธรรมนัส ได้แยก “ท่อทุน” ออกไป “หล่อเลี้ยง” พรรคใหม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มิหนำซ้ำยังได้ “ท่อเสริม” หาก พล.อ.ประวิตร “ร้องขอ” ความช่วยเหลือในสภา-ยกมือโหวตให้กับ พล.อ.ประยุทธ์

เมื่อท่อน้ำเลี้ยงของพรรค พปชร.มาจาก “ผู้กองธรรมนัส-สันติ-สุริยะ” และท่อกลาง หาก พล.อ.ประวิตร “ทุบโต๊ะ” เลขาธิการพรรค พปชร.คนใหม่ เป็นสายตรงเพื่อกระชับอำนาจ “ท่อป่ารอยต่อ” ต้องขยายใหญ่ขึ้นเป็นเงา

อย่าลืมว่า “พล.อ.ประวิตร” แม้จะถูก พล.อ.ประยุทธ์ “ยึดอำนาจ” ทั้งเก้าอี้ รมว.กลาโหม-กำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทว่า พล.อ.ประวิตร “นั่งหัวโต๊ะ” อยู่ใน “คณะกรรมการระดับชาติ” ในรัฐบาลมากกว่าทุกรองนายกรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล

ยกตัวอย่างเช่น คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก

คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ คณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

ตำแหน่งเลขาธิการพรรค พปชร.คนใหม่ ที่จะมา “รับไม้ต่อ” ร.อ.ธรรมนัส ผู้ที่นิยามตัวเองเป็น “เส้นเลือดใหญ่” จึงต้องจบวิชาบริหารเสียงในสภาชั้นสูง-ทุนหนามากพอที่จะเจอจ่ายจบ

ไม่ว่าจะเป็น “นักเลือกตั้งอาชีพ” หรือ “นายพลนอกราชการ” สายตรงบิ๊กป้อม ต้องมารับภารกิจประคองรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ-กบฏโค่นประยุทธ์ นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป