ประยุทธ์ เผยเศรษฐกิจไตรมาส 2 มีแนวโน้มที่ดี นักท่องเที่ยว-นักลงทุนทะลัก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
Photo : www.thaigov.go.th

นายกรัฐมนตรี เผยรายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มดี คาดจีดีพีโตร้อยละ 3.3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ในปีหน้า คาดนักท่องเที่ยวแห่เข้าประเทศปีนี้ 6 ล้านคน เงินเฟ้อจะลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ในปี ’66

วันที่ 2 สิงหาคม 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่าขอเริ่มด้วยเรื่องเศรษฐกิจ วันนี้ ครม.รายงานสภาวะแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ในเดือนเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา เศรษฐกิจมหภาคมีแนวโน้มในทางที่ดี แต่ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม อยากให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นข้อมูลสำหรับประกอบกิจการ และเตรียมการรับมืออนาคตที่จะมาถึง ทั้งนี้ ขอให้ติดตามสถานการณ์ภายนอกประเทศ

รวมถึงสภาวะทางการเงินการคลังของกลุ่มประชาคมต่าง ๆ ด้วย เพราะเศรษฐกิจผูกติดกันไปหมด ค่าเงินต่าง ๆ ขึ้นกับหลายสกุลด้วยกัน ทั้งนี้ ในภาครวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 3.3 ในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 4.2 ในปี 2566 ทั้งนี้ จากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน และกำลังซื้อของผู้มีรายได้สูงในประเทศในครึ่งปีหลัง รวมถึงการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

เราประเมินจำนวนนักท่องท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะอยู่ที่ 6 ล้านคน ประเมินไว้เดิม 5.6 ล้านคน เฉพาะในเดือนนี้เพิ่มขึ้น 2 ล้านคน จากมาตรการเปิดประเทศของไทย และต่างประเทศเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้น ในปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 19 ล้านคน เราคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการคลี่คลายของโควิด-19 ทั่วโลก และภาคธุรกิจมีแนวโน้มระดมทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องพิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษคือ ค่าเงินบาทที่ผูกติดกับหลายสกุลเงิน มีผลต่อการนำเข้าและการส่งออก ซึ่งด้านการส่งออกสินค้าไทยถือเป็นข่าวดี ที่มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 7.9 จากเดิมที่ประมาณการไว้ร้อยละ 7.0 และในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องอีก แต่ก็มีปัจจัยผันแปรไปตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจหลักและประเทศจีน และดูประเทศรอบบ้านอาเซียน รวมถึงประเทศอื่น ๆ อีกด้วย

ปัจจัยหนึ่งอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผ่านมายังต้นทุนสินค้าต่าง ๆ และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 6.2 และคาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ในปี 2566

“ขอให้พี่น้องประชาชนรวมถึงภาคธุรกิจได้เชื่อว่าเสถียรภาพระบบทางการเงินของไทยนั้นยังมั่นคงและแข็งแกร่ง จากการดำเนินการนโยบายทางการเงินการคลังที่รอบครอบ มีวินัยของเรา และเป็นที่เชื่อมั่นของนักวิเคราะห์ นักลงทุนจากต่างประเทศ สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ เรื่องการลงทุนมีหลายอย่างกับหลายประเทศ หลายโครงการที่ยังไม่สามารถชี้แจงในขณะนี้ได้ เพราะอยู่ระหว่างการเจรจา ศึกษาร่วมกัน โครงการขนาดใหญ่ ขนาดลาง ขนาดเล็ก จำนวนมากพอสมควร ที่ได้รับรายงานจากฝ่ายเศรษฐกิจของเราในการติดต่อกับนักลงทุนต่างประเทศ หรือประเทศที่เราได้มีการเพิ่มความสัมพันธ์ เช่น ซาอุดีอาระเบีย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ไม่ทิ้งกลุ่มเปราะบาง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจปัญหาเศรษฐกิจ เราต้องแยกออกจากเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะค่าครองชีพของประชาชน และธุรกิจบางกลุ่มที่เปราะบาง รวมถึงคนรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนในการหามาตรการช่วยเหลือต่อไป

นอกจากนั้น ตนได้สั่งการและติดตามเรื่องที่สั่งไปแล้วหลายเรื่อง ตั้งแต่ครึ่งปีแรก ทั้งนโยบายเร่งด่วน การลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 2 เดือน การจัดหาที่ดินทำกินให้เกษตรกรมากกว่า 1 หมื่นราย การประกันภัยข้าวนาปี จำนวน 29 ล้านไร่ การส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ซึ่งวันนี้มีผู้ขออุดหนุนแล้ว 183 โครงการ มูลค่าเกือบ 1 แสนล้านบาท นอกจากนั้นมีนโยบายระยะยาว เรื่องการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ที่จ.ระนอง

การริเริ่มโครงการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ เช่น การผลิตทุเรียนนนท์ ที่เพิ่มการปลูกมากกว่า 2 พันไร่ การก่อสร้างระบบกระจายน้ำแสงอาทิตย์ที่ จ.ชัยภูมิ

ทั้งหมดเป็นที่น่ายินดี มีความสำเร็จเกิดขึ้นมาแล้วเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วประเทศ ยังมีอีกหลายโครงการที่ดำเนินการอยู่ จากการลงพื้นที่ของตน และคณะรัฐมนตรี ติดตามในเรื่องเหล่านี้ อะไรติดค้าง มีปัญหาอุปสรรคก็จะแก้ไข อะไรที่ต้องปรับเปลี่ยนโครงการ อะไรที่ไม่สามารถดำเนินการได้ ก็จะต้องปรับแผนโครงการเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้จ่ายงบประมาณ 2565