JTS บริษัทลูก “JAS” ของ “พิชญ์ โพธารามิก” เดินหน้าชงผู้ถือหุ้นมีมติพิจารณาจัดซื้อ “เครื่องขุดบิตคอยน์” กว่า 3 พันเครื่อง หวังขึ้นแท่นผู้ประกอบธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์รายใหญ่ในประเทศไทย ขณะที่ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเตือนเสี่ยง
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โชลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS บริษัทย่อยของบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ว่าที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบ ได้มีมติเกี่ยวกับรายงานความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเกี่ยวกับรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ และรายการที่เกี่ยวโยงกันในธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์ (Bilcoin Mining) และการออกและเสนอขายหุ้นกู้และการจัดหาหลักประกัน ในประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1.บริษัทได้รับทราบและพิจารณาความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ มีข้อสรุปว่าผู้ถือหุ้นควรลงมติ “ไม่อนุมัติ” รายการได้มาซึ่งสินทรัพย์และรายการที่เกี่ยวโยงกัน ในวาระที่ 2.1 การจัดซื้อเครื่องขุดบิตคอยน์จำนวน 1,800 เครื่องจากบริษัท พรีเมียม แอสเซท จำกัด ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ และรายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท
และในวาระที่ 2.2 การจัดซื้อเครื่องขุดบิตคอยน์จำนวนไม่เกิน 4,500 เครื่อง พร้อมระบบไฟฟ้าและระบบที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท
เนื่องจากโครงการลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์มีความเสี่ยง และผลกระทบของความผันผวนของตัวแปรต่าง ๆ ที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้ และมีนัยสำคัญต่อกระแสเงินสดของบริษัท
ดังนั้นความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระดังกล่าวจึงมีนัยสำคัญและมีความเป็นไปได้ที่ความเสี่ยง และผลกระทบตามที่ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระสรุปไว้อาจเกิดขึ้นได้ ผู้ถือหุ้นทุกรายจึงควรศึกษารายละเอียดในรายงานความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ
ทั้งนี้ ตามที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 12/2564 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 นั้น ได้มีการพิจารณาข้อมูลเชิงสถิติ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาบิตคอยน์ประกอบแล้ว พบข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าราคาบิตคอยน์มีโอกาสจะปรับตัวสูงขึ้นได้เร็วกว่าการเติบโตของจำนวนแฮชเรตรวมของเครือข่ายบิตคอยน์ เนื่องมาจากเหตุผลดังต่อไปนี้
การเติบโตของจำนวนแฮชเรตรวมของเครือข่ายบิตคอยน์ (Bicoin Total Hash Rate) ตั้งแต่ต้นปี 2018 เป็นต้นมา มีลักษณะเป็นไปแบบเชิงเส้น (Linear Growh) โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของแฮชเรตในแต่ละปีที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ อันเป็นผลมาจาก
(1) พัฒนาการของเทคโนโลยีในการผลิตชิปประมวลผลให้มีขนาดเล็กลงและมีความจุเพิ่มขึ้นเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งปัจจุบันเครื่องขุดบิตคอยน์ก็ใช้เทคโนโลยีระดับ 5 นาโนเมตรอยู่แล้ว
(2) ตลาดเครื่องขุดบิตคอยน์เป็นของผู้ผลิตน้อยราย เนื่องจากการออกแบบเครื่องขุดให้มีจำนวนแฮชเรตสูง แต่ใช้พลังงานต่ำนั้นต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง ทำให้จำนวนเครื่องขุดบิตคอยน์ไหม่ที่ผลิตและเพิ่มเข้ามาในตลาดของแต่ละปีมีจำนวนจำกัด
(3) การที่ตลาดอุปทานเป็นของผู้เล่นน้อยราย เมื่อรวมกับสถานการณ์การขาดแคลนชิปประมวลผลที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้กำลังการผลิตของเครื่องขุดบิตคอยน์รวมไม่เพียงพอกับความต้องการในตลาด ผู้ซื้อที่ต้องการสั่งเครื่องขุดในปริมาณมากต้องสั่งจองเครื่อง และชำระเงินล่วงหน้าก่อนการส่งของเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีผู้ซื้อจำนวนไม่มากที่มีความสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้
(4) การที่ตลาดเป็นของผู้ผลิต ทำให้บ่อยครั้งที่ผู้ผลิตเลือกที่จะปรับเพิ่มราคาขายของเครื่องขุดบิตคอยน์รุ่นเดิม ตามราคาของบิตคอยน์ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยไม่สนใจต้นทุนในการผลิตที่แท้จริง ทำให้แรงจูงใจของผู้ซื้อที่จะลงทุนซื้อเครื่องขุดใหม่ เมื่อราคาบิตคอยน์ปรับตัวสูงขึ้นนั้น มีเพิ่มขึ้นไม่มากอย่างที่ควร ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ในอนาคตอันใกล้จึงเป็นไปได้ยากที่จะมีการเติบโตของจำนวนแฮชเรตรวมของเครือข่ายบิตคอยน์อย่างก้าวกระโดด
แต่เมื่อพิจารณาในมุมของราคาของบิตคอยน์ที่ถึงแม้จะมีความผันผวนของราคาสูง แต่ยังมีอัตราการเติบโตของราคาในช่วง 2-3 ปีหลังเป็นไปแบบทวีคูณ (Exponential Growh) อันเนื่องมาจากตลาดเริ่มมองว่าบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมกว่าเงินตรา (Fiat Currency) ในการรักษามูลค่า และป้องกันความเสี่ยง จากเงินเฟ้ออันเป็นผลมาจากการอัดฉีดเงินเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางทั่วโลก (Debasement)
โดยปัจจุบันบิตคอยน์มี Market Cap อยู่ที่ 790.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าซื้อขายต่อวันอยู่ที่ประมาณ 24.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนั้นยังมีนักลงทุนและกองทุนระดับโลกที่ให้มุมมองเชิงบวก และเข้าลงทุนในบิทคอยน์หลายราย เช่น กองทุน Grayscale Bicoin Trust เป็นกองทุนคริปโทเคอร์เรนซีที่มีการซื้อขายกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมี Grayscale Investments, LLC เป็นผู้จัดการสินทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันสามารถมีส่วนร่วมในการลงทุนกับบิตคอยน์ โดยปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ที่บริหารอยู่ประมาณ 26.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.คณะกรรมการตรวจสอบ ได้รับทราบความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ที่ได้สรุปความเห็นว่าผู้ถือหุ้นควรลงมติ “ไม่อนุมัติ” รายการก็ตาม แต่เนื่องจากทางบริษัท และ/หรือบริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด (JasTel) ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจนี้เป็นอย่างดีมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และพบว่าข้อมูลเชิงสถิติและข้อเท็จจริงในส่วนของความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาบิตคอยน์นั้น พบข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าราคาบิตคอยน์มีโอกาสจะปรับตัวสูงขึ้นได้เร็วกว่าการเติบโตของจำนวนแฮชเรตรวมของเครือข่ายบิตคอยน์ และเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนในระยะยาว
อีกทั้งมีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงสินทรัพย์ดิจิทัลมาดำเนินการในการกำกับดูแลและกำหนดนโยบายในการบริหารจัดการบิตคอยน์ ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อดีของการทำรายการซื้อเครื่องขุดบิตคอยน์ ว่าเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่ให้กับ บริษัท และ/หรือ JasTel ตามแผนการขยายธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์ของ JasTel ให้เติบโตยิ่งขึ้น
โดยการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัท และ JasTel กลายเป็นผู้ประกอบธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์รายใหญ่ในประเทศไทย การเข้าลงทุนจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้นและอาจช่วยให้กลุ่มบริษัทได้รับโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต อีกทั้งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญของบริษัทต่อยอดธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ซึ่งความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระในส่วนนี้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการบริษัท และแผนธุรกิจของ JasTel จึงเห็นควรให้นำเสนอให้ผู้ถือหุ้น เป็นผู้พิจารณาอนุมัติรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์และรายการที่เกี่ยวโยงกันนี้ด้วยความระมัดระวัง และศึกษาข้อมูลประกอบก่อนการพิจารณาอนุมัติรายการ
สำหรับ JTS เป็นบริษัทย่อยของบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ที่มีนายพิชญ์ โพธารามิก เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่