แกรนด์โอเพนนิ่ง “สายสีแดง” ธ.ค. 64 เริ่มเก็บค่าโดยสารเริ่มต้น 12 บาท

กระทรวงคมนาคม แกรนด์โอเพนนิ่ง “สายสีแดง” ธ.ค. 64 เริ่มเก็บค่าโดยสารเริ่มต้น 12 บาท

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ โดยกระทรวงคมนาคมจะเปิดให้บริการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) อย่างเป็นทางการ หรือ Grand Opening เดือนธันวาคม 2564 หลังจากที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้เปิดให้บริการแบบเสมือนจริง หรือ Soft Opening มาตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2564 โดยไม่คิดค่าโดยสาร

ปัจจุบันมียอดผู้โดยสารโดยเฉลี่ยวันละ 6,105 คน มีอัตราการเติบโต 13% สอดคล้องกับการผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งได้มีการดำเนินการด้านการเชื่อมต่อการเดินทางกับรถโดยสารประจำทาง โดยกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ปรับปรุงเส้นทางเพื่อรองรับการเชื่อมต่อโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ทุกสถานี เพื่อให้ผู้ใช้บริการเดินทางได้อย่างสะดวก และลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

เล็งจ้างบริหาร-พื้นที่พาณิชย์ “สถานีกลางบางซื่อ”

การเตรียมความพร้อมด้านการให้บริการภายในสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้ง 12 สถานี ร.ฟ.ท.ได้จ้างทำความสะอาด กำจัดขยะ รักษาความปลอดภัย และอำนวยการจราจรทั้งบริเวณสถานีกลางบางและบริเวณสถานีอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว

ส่วนของงานจ้างบริหารจัดการงานอาคารและสถานที่บริเวณสถานีกลางบางซื่อ และงานบริหารจัดการงานอาคารและระบบวิศวกรรมประกอบอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง อยู่ระหว่างเผยแพร่ร่าง TOR เพื่อให้สาธารณชนเสนอแนะ และวิจารณ์ผ่านทางเว็บไซต์ ส่วนการจัดประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์อยู่ระหว่างการคณะกรรมการจัดทำประกาศ พิจารณาหลักเกณฑ์การคัดเลือกร่วมกับบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA)

ในส่วนของการปรับจำนวนขบวนรถไฟทางไกลเข้าสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ร.ฟ.ท.ได้มีแผนการดำเนินงานให้ปรับลดลงเหลือ 22 ขบวน เมื่อเปิดให้บริการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) อย่างเป็นทางการ และจะเริ่มลดลงให้วิ่งเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อทั้งหมดในอนาคต โดยรัฐมนตรีได้สั่งการให้ ร.ฟ.ท.กำหนดกรอบเวลาการดำเนินงานให้ชัดเจน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้

เริ่มเก็บค่าโดยสารเริ่มต้น 12 บาท

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการกำหนดอัตราค่าโดยสาร ความพร้อมเข้าสู่ระบบตั๋วร่วม
บัตรโดยสารในการเดินทางร่วม โดยกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ใน 3 ปีแรกจะมีค่าแรกเข้า 12 บาท และค่าโดยสาร 1.50 บาทต่อกิโลเมตร ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ ร.ฟ.ท.พิจารณากำหนดแนวทางเพื่อลดภาระทางการเงิน รวมทั้งแนวทางการผ่อนผันดอกเบี้ยใน 3 ปีแรกของการเปิดให้บริการ

ก.พ. 65 คลอดตั๋วร่วมเชื่อม “แดง-น้ำเงิน-ม่วง”

และการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่ระบบตั๋วร่วมภายใต้มาตรฐาน EMV สามารถรองรับการใช้งานในรถเมล์ ขสมก. และเรือโดยสาร MINE Smart Ferry รวมทั้งเปิดใช้งานกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วงได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และยังได้รับทราบแผนการใช้บัตรโดยสารในการเดินทางร่วม โดย บมจ.ธนาคารกรุงไทย ได้หารือร่วมระหว่าง ร.ฟ.ท. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขสมก. และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้เกิดตั๋วร่วมระหว่างหน่วยงานตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม เพื่อส่งเสริมการเดินทางร่วมระหว่างระบบขนส่งมวลชนรูปแบบต่าง ๆ

ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปแนวทางร่วมกัน ทั้งรูปแบบบัตร เทคนิคบัตร และเงื่อนไขการกำหนดราคา พร้อมทั้งพิจารณาข้อกำหนดส่วนแบ่งรายได้ การเติมเงิน จุดจำหน่ายบัตร และการแบ่งจ่ายรายได้ของ Operators

นายศักดิ์สยามกล่าวอีกว่า ได้มีข้อสั่งการให้ ร.ฟ.ท.วิเคราะห์ข้อมูลรายได้และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ในการให้บริการช่วงที่ผ่านมา เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์เพื่อจัดตารางเวลาของรถไฟและกำหนดอัตราค่าโดยสารแรกเข้าให้มีความเหมาะสม โดยต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนเป็นหลัก

และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ข้อมูลตารางการเดินรถ รูปแบบราคาค่าโดยสาร และข้อมูลอื่น ๆ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับรู้อย่างทันท่วงที

รวมทั้งได้สั่งการเพิ่มเติมให้ ร.ฟ.ท.ดำเนินการในเชิงรุกด้านการป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาลักลอบตัดสายอาณัติสัญญาณในระบบรถไฟฟ้า เช่น การดำเนินคดีให้ถึงที่สุด รวมถึงการขยายผล ให้เป็นแบบอย่างในการป้องปรามไม่ให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ เพื่อให้ความตรงต่อเวลาและความน่าเชื่อถือในการบริการเดินรถไฟมีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

เคาะ 5 ธีมพัฒนา “หัวลำโพง”

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบแนวทางการพัฒนาพื้นที่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) โดยมีแนวความคิดในการพัฒนาได้เน้นการเป็นพื้นที่สาธารณะให้กับคนเมือง และเพิ่มศักยภาพพื้นที่เพื่อเชิงพาณิชย์ อันได้แก่ การเชื่อมต่อระบบการสัญจร การพัฒนาเชิงพาณิชยกรรม การออกแบบการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นการอนุรักษ์และรองรับทุกวัย และการเชื่อมโยงกิจกรรมกับบริเวณพื้นที่ต่อเนื่อง โดยได้วางรูปแบบการพัฒนาเป็น 5 โซน ประกอบด้วย

1.พื้นที่สาธารณะประโยชน์และพัฒนาทัศนียภาพโดยรอบ (Public area and Landscape)

2.พื้นที่ปรับปรุงอาคารเป็นไปตามแนวทางอนุรักษ์

3.พื้นที่เชิงพาณิชย์ ในรูปแบบปิดและเปิด เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร

4.พื้นที่กิจกรรม

และ 5.พื้นที่เชิงพาณิชย์ ในรูปแบบ Lifestyle Mixed-Use Development


และพื้นที่เชิงพาณิชย์ ในรูปแบบ Urban Mixed-Use Development โดยแบ่งเป็นการพัฒนาในระยะสั้นและระยะยาวตามการพัฒนาเศรษฐกิจ การคมนาคมโดยรอบพื้นที่และตลาดโดยรวมเพื่อให้สอดรับแนวทางเดียวกัน