REIC เผยตลาดบ้านมือสอง ไตรมาส 4/64 ซัพพลายทะลักเฉลี่ยเดือนละ 1.45 แสนยูนิต มูลค่ากว่า 9.9 แสนล้าน บ้านเดี่ยวประกาศขายสูงสุด
วันที่ 9 มีนาคม 2565 ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารและรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง ไตรมาส 4/64 มีแนวโน้มขยายตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
โดย REIC ได้รวบรวมข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ จากการประกาศขายผ่านเว็บไซต์บริษัทภาคเอกชนที่มีปริมาณการประกาศขายเป็นจำนวนมาก และข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและเอกชน และกรมบังคับคดี ที่ประกาศขายผ่านเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง เพื่อให้ได้ข้อมูลซัพพลายมือสองที่ครอบคลุมในตลาดมากที่สุด
โดยมีปัจจัยหลักมาจากอานิสงส์มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ต่ออายุลดค่าโอนและจดจำนองสำหรับบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และขยายสิทธิครอบคลุมมาถึงบ้านมือสอง โดยมาตรการดังกล่าวจะยิงยาวไปจนถึงสิ้นปี 2565 นี้
ขณะเดียวกันยังได้รับผลดีจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนปรนมาตรการ LTV 100% เป็นการชั่วคราวจนถึง 31 ธ.ค. 2565 นี้ ทำให้คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยมือสองในปี 2565 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมในไตรมาส 4/64 ซัพพลายพร้อมขายมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/64 ทั้งในด้านจำนวนหน่วยและมูลค่า
โดย “บ้านเดี่ยว” มีการประกาศขายหรือฝากขายผ่านเว็บไซต์มากที่สุดในกลุ่มระดับราคา 5-7.5 ล้านบาท โดยทำเลที่ตั้งในกรุงเทพฯ มีการฝากขายสัดส่วนร้อยละ 62 ในด้านมูลค่า และร้อยละ 41 ในด้านจำนวนหน่วย
ในช่วงไตรมาส 4/64 (ตุลาคม – ธันวาคม) พบว่า มีประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 145,753 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 มูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 990,224 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 เทียบกับไตรมาส 3/64 ซึ่งเฉลี่ยต่อเดือน 129,732 หน่วย และมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 862,455 ล้านบาท
โดยเดือนพฤศจิกายน 2564 มีการฝากขาย 149,529 หน่วย มูลค่า 1,061,435 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมทั้งปี 2564 ประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 126,237 หน่วย มูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 855,317 ล้านบาท
ส่วนการขยายตัวพบว่าไตรมาส 4/64 จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/64 โดยบ้านเดี่ยวประกาศขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 รองลงมาทาวน์เฮาส์เพิ่มร้อยละ 12.5 ห้องชุดเพิ่มร้อยละ 11.0 บ้านแฝดเพิ่มร้อยละ 5.1 และอาคารพาณิชย์เพิ่มร้อยละ 4.0
ในด้านมูลค่า ทาวน์เฮาส์ประกาศขายเพิ่มร้อยละ 18.1 รองลงมาบ้านเดี่ยวเพิ่มร้อยละ 16.8 บ้านแฝดเพิ่มร้อยละ 16.1 ห้องชุดเพิ่มร้อยละ 12.0 แต่อาคารพาณิชย์มีมูลค่าลดลง QOQ ร้อยละ -3.0
ในด้านสัดส่วน พบว่า บ้านเดี่ยวมีสัดส่วนประกาศขายมากที่สุดร้อยละ 38.5 ห้องชุดร้อยละ 32.1 ทาวน์เฮาส์ร้อยละ 25.2 อาคารพาณิชย์ร้อยละ 2.7 และบ้านแฝดร้อยละ 1.6
ในด้านมูลค่าเฉลี่ยพบว่า บ้านเดี่ยวมีสัดส่วนมูลค่าประกาศขายมากที่สุดร้อยละ 52.1 รองลงมาห้องชุดร้อยละ 33.5 ทาวน์เฮาส์ร้อยละ 11.5 อาคารพาณิชย์ร้อยละ 2.0 บ้านแฝดประกาศขายน้อยสุดร้อยละ 0.8
สำหรับท็อป 3 มีดังนี้ “กลุ่มราคา” พบว่า อันดับแรก ราคา 5-7.5 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.9 อันดับสอง ราคา 7.5-10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.0 อันดับสาม ราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9
ท็อป 3 “มูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน” ได้แก่ ราคา 5-7.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.9 อันดับสอง ราคา 7.5-10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.8 และอันดับสาม ราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1
ท็อป 3 “จำนวนหน่วย” อันดับแรก ราคา 3-5 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 17.3 ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 15.9 และราคา 2-3 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 15.7 สรุปราคา 1-5 ล้านบาท มีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันร้อยละ 48.9
ขณะที่สัดส่วนมูลค่า 3 อันดับแรก แบ่งเป็น ราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 61.4 ราคา 3-5 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 10.1 และราคา 5-7.5 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 9.5 สรุปราคา 3-10 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 81.0
ทั้งนี้ 10 จังหวัดที่มีมูลค่าประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ, ภูเก็ต, นนทบุรี, สมุทรปราการ, ชลบุรี, เชียงใหม่, ปทุมธานี, สุราษฎร์ธานี, ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรสาคร
โดยกรุงเทพฯจังหวัดเดียวมีมูลค่าฝากขายเฉลี่ยต่อเดือน 616,614 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 62.3 เทียบกับมูลค่าทั้งประเทศ มีหน่วยประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 60,269 หน่วย สัดส่วนร้อยละ 41.3
ส่วนอันดับที่ 2-10 มีสัดส่วนมูลค่าและจำนวนหน่วยไม่ถึงร้อยละ 10
อย่างไรก็ดี 10 จังหวัดนี้ มีมูลค่ารวมกันร้อยละ 90.9 ที่เหลืออีก 67 จังหวัด มีมูลค่ารวมกันร้อยละ 9.1 จำนวนหน่วยรวมกันร้อยละ 23.8