สัมภาษณ์พิเศษ
ภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ สถาบันตุลาการ 1 ในอำนาจ 3 ฝ่าย เป็น “สายตรง”-ปฏิบัติภารกิจสนองพระเดชพระคุณตลอดรัชสมัยในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ” อดีตผู้พิพากษา-กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ครึ่งชีวิตของ “ศาสตราจารย์พิเศษวิชา” เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อสถาบันตุลาการ
2 เหตุการณ์สำคัญ เป็น “จุดเปลี่ยนชีวิต” ของ “ศาสตราจารย์พิเศษวิชา” จากกระแสพระราชดำรัสและพระมหากรุณาธิคุณ จึงนำมาซึ่งการอุทิศชีวิตให้กับสถาบันตุลาการ-องค์กรอิสระ บรรทัดต่อจากนี้ขอร่วมน้อมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สู่ฟ้าเสวยสวรรค์
Q : หัวใจของความยุติธรรมที่พระองค์พระราชทานแก่ผู้พิพากษาคือเรื่องอะไร
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักนิติธรรม หรือหลักกฎหมาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถยิ่ง เริ่มต้นตั้งแต่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์และมีพระปฐมบรมราชโองการ ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
เรื่องความยุติธรรม พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญกับผู้พิพากษา คือ ผู้รักษาความยุติธรรม ไม่ใช่ความยุติธรรมในหน้าที่เท่านั้น แต่เป็นผู้มีความรู้ มีเหตุมีผล รู้จักจิตใจคน ต้องแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาให้กับชาวบ้าน ไม่ใช่ตัดสินแล้วแล้วกัน
ผู้พิพากษาเป็นเจ้าของประเทศคนหนึ่ง ต้องมีความรู้รอบตัวในพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะการทำหน้าที่ผู้พิพากษา แต่นำสิ่งที่ได้เห็น ได้ยินมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ออกไปหาราษฎร ไม่อยู่บนบัลลังก์อย่างเดียว เท่ากับเป็นการลดงานในศาล ลดคดีต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เป็นการป้องกันไว้ก่อน อย่าให้ชาวบ้านถูกโกง พระองค์ท่านตรัสว่า “งานด้านป้องกันจึงเป็นงานที่สำคัญมากและสามารถทำได้” ไม่ให้เสียรู้ตีนโรงตีนศาล
Q : พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของตุลาการอย่างไร
พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานประกาศนียบัตรให้แก่เนติบัณฑิตหลายรุ่น พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสเปรียบเสมือนเป็นพระบรมราโชวาทให้กับนักกฎหมายตลอดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เนติบัณฑิตคิดถึงประโยชน์สุขของประชาชนส่วนใหญ่และอย่าไปคิดว่า กฎหมายสิ้นสุด หรือหยุดอยู่ที่ตัวบทกฎหมายเท่านั้น จะต้องมองไกลกว่าตัวบทกฎหมาย พระองค์ท่านตรัสว่า “ความยุติธรรมอยู่เหนือกฎหมาย” ตรงนี้เป็นที่จับใจของนักกฎหมายมาก เวลาจะเอากฎหมายไปใช้อย่าคำนึงถึงเพียงตัวบทกฎหมายที่มองเห็นเท่านั้น แต่จะต้องมองไปถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย คือ ความยุติธรรม ความเป็นธรรมที่จะให้กับประชาชน
สำหรับผู้พิพากษาหรือตุลาการเริ่มมีการให้ถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมา ภายหลังการเคลื่อนไหวปฏิวัติครั้งใหญ่ของนิสิตนักศึกษาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 จนกระทั่งในสมัยรัฐบาลอาจารย์สัญญา
ธรรมศักดิ์ ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญปี 2520 ขึ้นมา ว่า ตุลาการและผู้พิพากษาต้องเข้าไปถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ทรงมีกระแสพระราชดำรัสทุกครั้งตลอดมาที่มีพระชนม์ชีพ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาผู้พิพากษาทุกรุ่นจะต้องได้รับกระแสพระราชดำรัส
Q : อาจารย์สัญญารับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ได้ถ่ายทอดพระราชประสงค์ของพระองค์ให้ผู้พิพากษาฟังอย่างไรบ้าง
อาจารย์สัญญาเวลาท่านอบรมจะมาถ่ายทอดเสมอว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสถึงผู้พิพากษาอย่างไร ท่านพูดถึงคดีความ พูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างไร และตั้งเป็นถ้อยคำให้กับผู้พิพากษาเลยว่า ต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม
ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งอาจารย์สัญญามาสอนผู้พิพากษาพูดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่า เป็นห่วงมากกับคดีความที่ผู้พิพากษาตัดสินคดี เพราะราษฎรเวลาตัดสินในชั้นศาลแล้วมักจะไม่จบ คือ
มักทูลเกล้าฯถวายฎีกา ให้พระองค์ทรงรับรู้เสมอไม่ใช่ขอพระราชทานอภัยโทษอย่างเดียว แต่ว่าทุกเรื่อง สารพัดเรื่อง ซึ่งพระองค์ท่านจะเอาใจใส่มากในเรื่องที่เกี่ยวกับคดีความ โดยเฉพาะเรื่องการขออภัยโทษ เพราะการขอพระราชทานอภัยโทษเท่ากับต้องลดโทษ ปล่อยตัว โดยองคมนตรีที่มาจากผู้พิพากษาเป็นผู้ตรวจสำนวนอภัยโทษอย่างละเอียด
มีอยู่เรื่องหนึ่งพระองค์ท่านทรงตรัสว่า คดีนี้พระองค์ท่านพิจารณาแล้ว….ไม่ทรงทราบเลยว่า motivation หรือแรงจูงใจของจำเลยที่ได้กระทำความผิดคืออะไร ทำไมถึงได้กระทำความผิด?เพราะจำเลยรับสารภาพ ผู้พิพากษาจึงไม่ได้ซักถาม อาจารย์สัญญาจึงรับใส่เกล้าฯ มาบอกกับผู้พิพากษาว่า เมื่อผู้พิพากษาอยู่บนบัลลังก์ ให้ซักไซ้ไล่เรียง เพราะถ้าเป็นคดีที่มีโทษร้ายแรง โดยมากจะไปถึงพระเนตรพระกรรณ ขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะฉะนั้นอย่างสร้างความหนักพระราชหฤทัยให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และต้องมีข้อมูลให้พระองค์ท่านใช้ดุลยพินิจเพื่อลดหย่อนผ่อนโทษ
Q : นำเรื่องความพอเพียงที่เปรียบเสมือนทางสายกลางมาใช้ในการตัดสินคดี
สามารถนำมาใช้กับทุกเรื่องเพื่อเตรียมรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น พระองค์ทรงตรัสว่า คำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและที่จะเกิดขึ้นต่อไป กล่าวคือ เงื่อนไขความรอบรู้ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จไม่ใช่ผลของคำตัดสินต่อคดีนี้เท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นสืบเนื่องต่อไป ผลกระทบของคดีต่อไปจะเป็นอย่างไร
Q : ประสบการณ์โดยตรงของอาจารย์ คือ เหตุการณ์วิกฤตตุลาการปี 34 ทำไมตัดสินใจถวายฎีกาพึ่งพระบารมี
พระองค์ท่านทรงใส่พระทัยในเรื่องของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะศาล เพราะผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งหรือออกจากราชการต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ต้องถึงในหลวงเสมอ ไม่มีทางว่าคุณจะเอาตุลาการออกจากตำแหน่งได้อย่างสบาย ๆ เพราะฉะนั้น ยังไงพระองค์ท่านก็เป็นที่พึ่ง ถ้ามีอะไรก็ต้องให้พระองค์ท่านรับทราบโดยพระเนตรพระกรรณ นอกจากนี้ผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย พระองค์ท่านจะเตือนว่า เวลาจะทำอะไรให้นึกถึงพระองค์ด้วย ทำให้ผู้พิพากษาทุกคนต้องมีความสำนึก
เรื่องการต่อสู้ในเหตุการณ์วิกฤตตุลาการเพื่อความเป็นธรรม การเคลื่อนไหวขณะนั้นทำให้กระทรวงไม่พอใจ มีการต่อต้าน ผู้พิพากษานำหนังสือไปยื่นร้องกับนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นการแทรกแซงการแต่งตั้งตุลาการของรัฐมนตรี โดยใช้เทคนิคถ่วงเวลา จนมีการตั้งกรรมการสอบตุลาการที่ออกมาเคลื่อนไหว เมื่อผลการสอบออกมาให้ไล่ออกจากราชการ เราบอกว่า เป็นการเคลื่อนไหวคัดค้านทางความคิด ไม่ใช่เคลื่อนไหวในทางมิชอบ เมื่อไตร่ตรองแล้วจึงกราบบังคมทูลทรงทราบเพื่อพระราชทานความกรุณา
Q : ขณะนั้นมองหาวิธีอื่นไม่ได้อีกแล้วนอกจากขอพึ่งพระบารมี
มีวิธีเดียว ไม่มีวิธีอื่น ต้องกราบบังคมทูลในหลวงเท่านั้นเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ในที่สุดรัฐมนตรีมาบอกว่า ในหลวงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้ตุลาการที่เคลื่อนไหวและถูกให้ออกจากราชการ ไม่ต้องออกจากราชการ เป็นที่สุดของที่สุดแล้ว ทางรัฐมนตรีได้ยกเลิกคำสั่งให้ออกจากราชการ ถือเสมือนหนึ่งไม่มีคำสั่งนี้ต่อไป
Q : การถวายฎีกาเป็นที่พึ่งสุดท้าย
ใช่แน่นอน เพราะพระองค์ท่านเป็นที่พึ่ง เป็นต้นธารแห่งความยุติธรรม สุภาษิตอังกฤษโบราณ กล่าวไว้ว่า พระมหากษัตริย์คือต้นธารแห่งความยุติธรรม
Q : มีคุณูปการอื่นส่งมาถึงแวดวงตุลาการอย่างไรบ้าง
ตุลาการเห็นตรงกันว่า ศาลไม่ควรอยู่กับกระทรวงยุติธรรมและมีผลต่อมาในรัฐธรรมนูญปี”40 ให้ศาลเป็นอิสระ เป็นคุณูปการอย่างยิ่งที่ศาลเป็นอิสระจริง ๆ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดในการเคลื่อนไหวในครั้งนั้น
Q : ชีวิตราชการก่อนตัดสินใจขอพึ่งพระบารมีเหมือนทาง 2 แพร่ง
ก็มีคนมาชวนเยอะให้ออกไปทำอาชีพอิสระเถอะ สำนักงานกฎหมายใหญ่ ๆ มาเชิญแล้ว ผมก็สองจิตสองใจ ภรรยามีความทุกข์มาก ว่า เขาไม่เห็นความดีของเราแล้วเราจะไปทนทำทำไม ผมบอกว่า เหล็กดีต้องผ่านไฟเป็นการทดลองของสวรรค์หรือพระผู้เป็นเจ้าก็แล้วแต่ ให้รู้ว่าคุณทนได้ไหมกับอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง ถ้าทนได้ก็ผ่านไปได้
Q : พระราชดำรัสของในหลวงเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ให้ตุลาการร่วมกันปรึกษาปัญหาบ้านเมือง ปัญหานายกพระราชทานตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ส่งผลอะไร
ผมสมัครเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้คะแนนเสียงเป็นที่หนึ่งของรายชื่อผู้พิพากษาที่ส่งมา แต่วุฒิสภาไม่เอาสักคนเดียว (หัวเราะ) ไม่เห็นด้วย
Q : เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตอีก 1 เหตุการณ์
เป็นจุดเปลี่ยน…เมื่อรับฟังกระแสพระราชดำรัสแล้ว เกิดความฮึกเหิม ว่า อยากจะมาช่วยบ้านเมืองที่มากกว่าการเป็นตุลาการ มาเป็นผู้สร้างความยุติธรรมให้กับการเลือกตั้ง ให้กับระบบของบ้านเมือง อยากมาดูแลเรื่องการเลือกตั้งเพราะเป็นต้นทาง เพราะเกิดการทุจริตการเลือกตั้งเยอะมากตอนนั้น
เป้าหมายตอนนั้นต้องการไป กกต.แต่มันพลิกผันเป็น ป.ป.ช. ไม่ได้ต้องการเป็น ป.ป.ช. ต้องการเป็น กกต. เพราะสามารถทำให้การเลือกตั้งเกิดความบริสุทธิ์ ได้นักการเมืองที่ดีเข้ามา ได้คนดีปกครองบ้านเมือง แต่จุดพลิกผันที่จะมาองค์กรอิสระตอนนั้น คือ กระแสพระราชดำรัสในหลวง พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า ต้องให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง แต่สุดท้ายมาเป็นมือปราบได้อย่างไรไม่รู้
Q : คณะตุลาการจึงเปรียบเสมือนเป็นข้อต่อระหว่างพระมหากษัตริย์ องคมนตรี
เชื่อมโยงกัน ชนิดที่เรียกว่า แยกกันไม่ออก เพราะพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจโดยตรงของอำนาจอธิปไตย โดยเฉพาะผู้พิพากษาต้องตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ คำนี้มีความหมายมาก พูดง่าย ๆ ว่า เป็นสายตรงของพระมหากษัตริย์ ต้องอยู่ในพระเนตรพระกรรณตลอดเวลา ตัดสินคดีถูกต้องหรือไม่ เป็นที่พึ่งของประชาชนได้
หรือไม่