ครั้งแรก กฎกระทรวงแรงงาน เพื่อคนทำงานบ้าน กำหนดค่าจ้าง-วันลาคลอด

cleaning
Photo: Giorgio Trovato/unsplash

คนทำงานบ้านเฮ !! กระทรวงแรงงานดันกฎกระทรวงแรงงานสำเร็จ 11 เรื่อง เช่น ทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้สิทธิลาคลอด 98 วัน ค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ มีผลบังคับใช้แล้ว

วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2567) ตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งขณะนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 30 เมษายน 2567 เพิ่มการคุ้มครองให้กับลูกจ้างซึ่งทำงานบ้าน 11 เรื่อง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

นายพิพัฒน์กล่าวว่า กระทรวงแรงงานตระหนักถึงความสำคัญของแรงงานนอกระบบ เพราะเป็นแรงงานกลุ่มใหญ่ที่สุดมีจำนวนมากกว่า 20 ล้านคน จึงอยากส่งเสริมให้สามารถเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ มีหลักประกันสังคม มีความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างทำงานบ้าน ซึ่งการคุ้มครองตามกฎหมายยังไม่ครอบคลุมและยังไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานจึงเร่งผลักดันกฎหมายให้ขยายความคุ้มครองให้ลูกจ้างซึ่งทำงานบ้านได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา

พิพัฒน์ รัชกิจประการ

Advertisment

กฎกระทรวง ฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2567) ตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 30 เมษายน 2567 เพิ่มการคุ้มครองให้กับลูกจ้างซึ่งทำงานบ้าน 11 เรื่อง ได้แก่

1) มีเวลาทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน

2) มีเวลาพักไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง

3) มีสิทธิลากิจธุระอันจำเป็น

Advertisment

4) ห้ามลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทำงานเวลา 22.00-06.00 น. ทำล่วงเวลา หรือวันหยุด

5) ลูกจ้างหญิงลาคลอดได้ 98 วัน

6) ห้ามเลิกจ้างเพราะเหตุมีครรภ์

7) ให้นายจ้างแจ้งการใช้แรงงานเด็ก

8) ลูกจ้างเด็กมีสิทธิฝึกอบรมโดยได้รับค่าจ้าง 30 วัน

9) ลูกจ้างหญิงได้รับค่าจ้างลาคลอด 45 วัน

10) ห้ามนายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด

11) ลูกจ้างได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

“เรามุ่งผลักดันกฎหมายให้ออกมาตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาและคุ้มครองแรงงานนอกระบบให้ตรงจุดที่สุด เพื่อเป็นหลักประกันทางสังคมในการพัฒนาชีวิตคุณภาพแรงงานนอกระบบในมิติต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องแรงงานให้ดีขึ้นต่อไป” นายพิพัฒน์กล่าว