GREEN ECONOMY เกมเปลี่ยนอนาคต

เศรษฐกิจสีเขียว

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กำลังเป็นโจทย์ท้าทายของโลก ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น จากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น รวมถึงการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากยิ่งขึ้น

เมื่อกลางปี 2566 ที่ผ่านมา องค์การสหประชาชาติ ส่งสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่รุนแรงขึ้นว่า ภาวะ “โลกร้อน” (Global Warming) ได้สิ้นสุดลงแล้ว และกำลังเข้าสู่ยุค “โลกเดือด” (Global Boiling) ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากกิจกรรมของมนุษย์ และภาคธุรกิจทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น ผลที่ตามมาคือ อุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงขึ้น เกิดเป็นภาวะโลกร้อน

และประเทศไทยมีความเสี่ยงจาก Climate Change อยู่ในอันดับ 9 จากประเทศทั่วโลก (อ้างอิงข้อมูลดัชนีความเสี่ยงด้านภูมิอากาศโลก : CRI ประจำปี 2021)

ปัญหา Climate Change ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่ผลกระทบแค่อุณหภูมิที่เราสัมผัสได้ แต่ภาวะร้อนแล้งรุนแรงที่เกิดขึ้นกระทบต่อภาคการเกษตรมหาศาล ทำให้เกิดความเสียหายและผลผลิตลดน้อยลง จนถึงคุณภาพ เช่น กรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทั้งผลผลิต ข้าว ทุเรียน มะพร้าว เมล็ดกาแฟ ที่ลดลงอย่างมากทำให้ผลผลิตทั้งเพื่อการบริโภคในประเทศและการส่งออกลดลง กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่จุดใดในวงจรเศรษฐกิจไทย ก็ได้รับผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

“เศรษฐกิจสีเขียว” (Green Economy) ได้ชื่อว่าจะเป็นเมกะเทรนด์เปลี่ยนโลก ที่เป็นหนทางที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน (SUSTAINABLE DEVELOPMENT) ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน แน่นอนว่าจะเป็นทั้ง “โอกาส” และ”ความท้าทาย” ของภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัว

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ให้ความหมายของ “เศรษฐกิจสีเขียว” คือระบบเศรษฐกิจที่มี “คาร์บอนต่ำใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสที่ทั่วถึงในสังคม”

เศรษฐกิจสีเขียว กังหัน

ADVERTISMENT

ขณะนี้เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่หลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป ได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) รวมถึง กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation: EUDR)

นอกจากนี้สหรัฐอเมริกาเตรียมออกกฎหมาย Clean Competition Act มาบังคับใช้เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนเช่นกัน ซึ่งหากประเทศเศรษฐกิจใหญ่เหล่านี้มีการบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกของไทยประมาณ 216,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.1% ของจีดีพีไทย

หมายความว่าสินค้าที่ไทยส่งออกไปอียู หรือสหรัฐอเมริกาจะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่วัตถุดิบ และตลอดจนซัพพลายเชน ที่จะต้องอยู่ในมาตรฐานลดการปล่อยคาร์บอน ไม่เช่นนั้นก็จะต้องเจอมาตรการกีดกันต่าง ๆ ทั้งกำแพงภาษีและต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนก็จะยากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี หากธุรกิจสามารถปรับตัวทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน ก็สามารถคว้าโอกาสจากการเติบโตของเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลก และพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เศรษฐกิจสีเขียว

แนวทางการพัฒนา “เศรษฐกิจสีเขียว” จึงได้ชื่อว่าเป็นเกมเปลี่ยนอนาคตที่เป็นทั้ง “โอกาส” ที่จะสร้างการเติบโตธุรกิจในอนาคต และ “ความท้าทาย” ที่ทุกองค์กรต้องเผชิญเพื่อเดินหน้าต่อ

และในอนาคตอันใกล้ยังมีอีกหลายประเทศรวมถึงไทย ก็จะมีกฎกติกาต่าง ๆ ออกมาบังคับใช้เพื่อร่วมลดอุณหภูมิของโลก รวมถึงเทรนด์ผู้บริโภครักษ์โลกที่เติบโตขึ้น คงทำให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการ ได้รับแรงกดดันให้ต้องเร่งปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยขณะนี้ประเทศไทย ก็กำลังจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. Climate Change ที่คาดว่าการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้จะผลักดันให้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า ภายในปี 2040

ขณะเดียวกันก็มีการประเมินว่า 14 อุตสาหกรรมไทยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ซึ่งมีมูลค่าราว 6.5 ล้านล้านบาท หรือ 37% ของจีดีพีไทย จะต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น จากการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ ที่ทำให้ต้องมีต้นทุนจากการซื้อคาร์บอนเครดิต และภาษีคาร์บอน

ส่งออก

อย่างไรก็ดี PwC ประเทศไทย ที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลก ได้มีการจัดทำรายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นของซีอีโอไทยปี 2567 ผลสำรวจระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาซีอีโอไทยได้เร่งดำเนินการในด้านต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่นเดียวกับซีอีโอทั่วโลก และในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ทั้งนี้ แม้ว่าผลสำรวจ 79% ของซีอีโอไทยจะระบุว่า ตนกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่ยอมรับยังไม่มีแผนที่จะนำความเสี่ยงด้าน Climate Change มาผนวกเข้ากับการวางแผนทางการเงิน

ยิ่งไปกว่านั้น พบว่าซีอีโอไทยมากกว่าครึ่ง (58%) ยังไม่ยอมรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่จะลดลง เพราะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศ

นี่คือโจทย์ท้าทายของภาคธุรกิจมี “ราคา” ที่ต้องจ่ายในการทรานส์ฟอร์มสู่ “เศรษฐกิจสีเขียว” ที่เป็นเกมเปลี่ยนอนาคต