Celine Dion Live in Bangkok โชว์พลัง “ตัวแม่” ดีว่าของแท้ ครบเครื่อง คู่ควรทุกคำชม

เหตุการณ์เรือไททานิคล่มเมื่อปี ค.ศ.1912 ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อ 20 กว่าปีก่อน และออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในประวัติศาสตร์ ครองแชมป์ภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลมา 20 กว่าปี สิ่งที่มาคู่กันกับภาพยนตร์ไททานิคและประสบความสำเร็จมากเช่นกันคือเพลงประกอบภาพยนตร์ “My Heart Will Go On” ร้องโดยเซลีน ดิออน (Celine Dion) นักร้องสาวชาวแคนาดา ที่ยังเป็นเพลงฮิตตลอดกาลมาจนถึงทุกวันนี้

เซลีน ดิออน มีผลงานเพลงและมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980s แต่ 10 ปีแรกในฐานะนักร้อง เธอออกอัลบั้มภาษาฝรั่งเศส ก่อนจะมีอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดแรกในปี 1991 เธอเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงมากอยู่แล้ว ก่อนที่เพลงหนังไททานิคจะส่งให้เธอเป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ในระยะเวลา 30 กว่าปีที่ดีว่าตัวแม่คนนี้อยู่ในวงการเพลง เธอยังไม่เคยมาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทยเลย จนกระทั่งคอนเสิร์ตครั้งแรกในเมืองไทยของเซลีน ดิออน เกิดขึ้นในปีนี้

คอนเสิร์ต Celine Dion Live in Bangkok ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อคืนวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา แฟนเพลงของเธอที่รอคอยมานาน 20-30 ปี มารวมตัวกันเต็มความจุอิมแพ็ค อารีน่า สังเกตและประมาณด้วยสายตา เป็นคนมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป น่าจะราว 60-70 เปอร์เซ็นต์

คอนเสิร์ตเริ่มต้นขึ้นในเวลา 20.00 น. โดยมีเซลีนตัวปลอมออกมาเอ็นเตอร์เทนคนดูได้อย่างสนุก ด้วยการเลียนแบบเสียงร้องและแคแร็กเตอร์ของศิลปิน-นักร้องระดับไอคอนของแต่ละยุคได้อย่างน่าทึ่ง เป็นเวลาเกือบชั่วโมง

เวลา 20.55 น. เซลีน ดิออน ตัวจริงปรากฏตัวบนเวทีในชุดสูทสีทองทะมัดทะแมง เปิดโชว์และโชว์พลังเสียงอันน่าทึ่งด้วยเพลง “The Power Of Love” ตามด้วย “That”s The Way It Is” แล้วพูดคุยกับคนดูยืดยาวด้วยจริตจะก้านแบ๊วเกินอายุ ซึ่งเธอทำได้น่าเอ็นดูมาก สรุปใจความสั้น ๆ ประมาณว่า “แฮปปี้มากที่ได้มาที่นี่ ขอบคุณมาก ๆ ที่ให้การสนับสนุนมานานกว่า 3 ทศวรรษแล้ว คืนนี้เป็นเพลงของคุณ คืนนี้เป็นคอนเสิร์ตของคุณ”

“I”m Alive”, “Because You Loved Me”, “It”s All Coming Back To Me Now”, “Beauty And The Beast” เพลงเพราะเพลงดังของเธอถูกจัดมาอย่างต่อเนื่อง สลับกับการพูดคุยอย่างสนุกสนาน และการหายเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้วกลับออกมาอย่างรวดเร็ว

หลังจบเพลง “Beauty And The Beast” เซลีนพูดคุย แอ็กติ้ง (อย่างโอเวอร์ ซึ่งดูออกว่าตั้งใจโอเวอร์แอ็กติ้งเพื่อความตลก) กินเวลาหลายนาที แทบจะเรียกว่าเป็น ทอล์กโชว์เล็ก ๆ ได้เลย เซลีนบอกว่า เธอชอบการแสดงด้วย และเธอพยายามแสดงให้เห็นความสามารถด้านการแสดงของเธอ แล้วนำเข้าสู่เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องล่าสุด ก็คือเพลง “Ashes” จากเรื่อง Deadpool 2 หนังทำเงินของปีนี้

จากนั้นโชว์พลังเสียงต่อด้วยเพลง “Think Twice”, “Falling Into You”, “The Reason” จบ 3 เพลงนี้เธอเดินคุยกับคนดูอีกหลายนาที ต่อด้วยเพลง “Pour Que Tu M’aimes Encore” แล้วคุยกับคนดูอีกครั้ง นับว่าเป็นคอนเสิร์ตที่มีการพูดคุยมากที่สุดเท่าที่เคยดูมา มากกว่ามาดอนน่าด้วยซ้ำ

หลังพูดคุยก็กลับเข้าสู่การโชว์เสียงร้องอีกครั้ง ด้วย “Recovering” และ “All By Myself” แล้วหายเข้าไปเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว กลับออกมาในชุด เดรสสั้นสีดำเรียบหรู ให้เข้ากับช่วงต่อมาซึ่งเป็นช่วงการแสดงเมดเลย์เครื่องสาย ในเพลง “At Seventeen”, “A New Day Has Come” และ “Unison”

จบเซตเครื่องสาย ต่อด้วยเพลง “To Love You More” แล้วเธอก็เข้าไปเปลี่ยนชุดอีกครั้ง แล้วออกมาเดินหน้าความสนุกด้วยเมดเลย์เพลงคัฟเวอร์ Uptown Funk / Don’t Stop ‘Til You Get Enough / We are Family / Groove is in the Heart / Sex Machine

เข้าสู่ช่วงท้าย ต่ออีกเซตด้วยการคัฟเวอร์เพลง “Kiss” และ “Purple Rain” ของพรินซ์ (Prince) นักร้องดังผู้ล่วงลับ

ตามด้วย “Love Can Move Mountains”, “River Deep, Mountain High” แล้วหายเข้าไปเปลี่ยนชุดอีกครั้ง และกลับออกมาอย่างรวดเร็วในเพลงที่คนดูต่างรู้ว่า เพลงสุดท้ายมาถึงแล้ว นั่นก็คือ สุดยอดเพลงดัง “My Heart Will Go On” ที่แฟน ๆ ช่วยกันร้องอย่างน่าประทับใจ ทั้งสำหรับนักร้องเจ้าของคอนเสิร์ตและสำหรับคนดู

พอจบ “My Heart Will Go On” คนดูปรบมือเสียงดัง ส่งเสียงกรี๊ดเกรียวกราว เซลีนกล่าวขอบคุณคนดู และเกริ่นร่ำลา ขณะเดียวกันเสียงกรี๊ดและเสียงปรบมืออังกอร์ยังกระหึ่มไม่ลดละความพยายาม

“ฉันสามารถจบการแสดงคอนเสิร์ตนี้ได้ไหม” นักร้องดังถามด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม อ้อนคนดูอย่างน่ารัก แน่นอนว่าคำตอบของคนดู คือ “โน” (ลากเสียงยาว) เสียงร้องและเสียงปรบมือดังขึ้น ๆ

เมื่อเห็นพลังความรักอันน่าตื้นตันใจที่คนดูมอบให้ เซลีนจึงบอกกับคนดูว่า “ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงไม่เคยมาที่นี่มาก่อนหน้านี้ ฉันรู้เพียงว่าพวกคุณอยู่ห่างไกลมาก คุณรู้ไหม บางทีมันก็ยากหน่อย ๆ ที่จะออกทัวร์ เดินทางไกล ประสบการณ์บางอย่างมันก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว ทั้งปัญหาเจ็ตแล็ก ความเหนื่อยล้า ห่างไกลจากลูก ๆ และอื่น ๆ แต่คืนนี้มีเพียงคุณกับพวกเรา (เธอและทีมงาน) …ฉันอยากขอบคุณอีกครั้ง และอยากบอกว่า ฉันรักพวกคุณแค่ไหน”

แล้วนักร้องที่เดินทางมาจากแดนไกลก็ส่งสัญญาณบอกนักดนตรีไม่ต้องเล่น เพราะเธอจะร้องแบบปากเปล่า ไม่ต้องมีดนตรีบรรเลง ซึ่งเพลงสุดท้ายที่เซลีน ดิออน เลือกมาร่ำลาคนดู คือ เพลง “Can’t Help Falling in Love” ของราชาเพลงร็อกแอนด์โรลล์ เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley)

คนดูที่โหยหารอคอยการพบเจอมานาน ส่งพลังความรู้สึกที่สุดยอดไปถึงศิลปิน และศิลปินก็สะท้อนความรู้สึกกลับมาถึงคนดู เป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดูน่ารัก  จริงใจ แม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นแฟนยังสัมผัสได้ ถึงความ “มีอะไร” ที่ไม่ใช่เพียงการดูโชว์ร้องเพลงเพราะ ๆ

คอนเสิร์ตนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงแสง สี เสียง และองค์ประกอบอื่น ๆ เลย เพราะการแสดงของเซลีน ดิออน เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของโชว์แล้ว ก่อนหน้านี้ เราอาจจะรู้จัก เซลีน ดิออน ในฐานะดีว่าอันดับต้น ๆ ของโลก เมื่อได้ดูคอนเสิร์ตนี้ถึงได้เห็นว่า เธอเป็นมากกว่า “ดีว่า” ที่ร้องเพลงเพราะโชว์พลังเสียง เธอเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ชั้นยอดที่ครบเครื่อง ทั้งร้องดี เอ็นเตอร์เทนดี การพูดคุยกับคนดูก็มีความเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่าการแสดงระดับนี้ต้องมีสคริปต์อยู่แล้ว แต่ก็เห็นได้ว่าสคริปต์ที่เตรียมมาถูกปรับเปลี่ยนบวกกับสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างกลมกลืนลงตัว

…เป็นคอนเสิร์ตของนักร้อง เอ็นเตอร์เทนเนอร์มืออาชีพ ที่พิสูจน์ความเป็นตัวจริงมาแล้วมากกว่า 3 ทศวรรษ และเธอคู่ควรกับทุกคำชมจริง ๆ