BODYSLAM FEST วิชาตัวเบา มวลความสุขยิ่งใหญ่เอ่อล้นราชมังคลาฯ

คอนเสิร์ตที่ราชมังคลากีฬาสถาน 2 รอบ จำนวนคนดู 2 รอบ รวมกันประมาณ 120,000 คน ! นี่คือความน่าทึ่งของ “BODYSLAM FEST วิชาตัวเบา LIVE IN ราชมังคลากีฬาสถาน” คอนเสิร์ตประวัติศาสตร์แห่งยุคที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 9 และอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ความยิ่งใหญ่ของคอนเสิร์ตนี้ไม่ใช่แค่สถานที่และจำนวนคนดู แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพลังงานการแสดงของวงบอดี้สแลมที่คัดเลือกเพลงทั้งฮิตและไม่ฮิตมาแสดงให้แฟน ๆ ดูถึง 34 เพลง กับเวลาการแสดง 4 ชั่วโมงกว่า บวกกับพลังความทุ่มเทของฝั่งแฟนเพลงที่ไปต่อคิวรอเข้าสนามตั้งแต่เช้า กว่าครึ่งเข้าไปจับจองที่ยืนที่นั่งกันตั้งแต่ตอนที่แดดยังเปรี้ยง ๆ พูดได้ว่าพลังของศิลปินและแฟนเพลงนั้นมากเกินร้อยเหมือนกัน

เวลา 19.30 น. ตูน ปิ๊ด ยอด ชัช โอม สมาชิกวงบอดี้สแลมขึ้นเวทีและเปิดโชว์ด้วยเพลง “แสงสวรรค์” จากอัลบั้มใหม่ล่าสุด แล้วต่อด้วยเพลง “คราม” พอเริ่มเพลงไปสักพัก พี่ตูนหยุดเพลงแล้วคุยกับคนดูว่า คอนเสิร์ตที่ราชมังคลาฯ 8 ปีก่อน โทรศัพท์มือถือยังไม่พัฒนาขนาดนี้ จำได้ว่าทุกคนที่อยู่ในคอนเสิร์ตไลฟ์ อิน คราม ตะโกน กระโดดกันเต็มที่ ไม่มีการถ่ายรูป แล้วบอกคนดูว่าไม่อยากให้ถ่ายรูปเยอะ อยากให้สนุกกันให้เต็มที่แล้วจึงเล่นต่อ ซึ่งก็เห็นผลทันที เมื่อคนดูไม่ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูป เสียงร้องและการกระโดดโลดเต้นไปกับจังหวะดนตรีก็มากขึ้น

จบจาก “คราม” ต่อด้วยสองเพลงเร็วสนุก ๆ “เสี้ยววินาที” และ “คนที่ถูกรัก” ตามด้วย “เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” และ “ชีวิตเป็นของเรา” หนึ่งเพลงฮิตยุคเก่าที่แฟน ๆ คิดถึงร้องตามกันดังสนั่นสนามราชมังคลาฯ แล้วเบรกด้วยเพลงช้าให้กำลังใจ “เวลาเท่านั้น” ต่อด้วย “ท่านผู้ชม” เพลงเร็วที่ถูกหยิบมาเล่นจังหวะช้า ๆ ก่อนในครึ่งแรก ก่อนจะกลับสู่จังหวะปกติของเพลงในครึ่งหลัง

 

ช่วงนี้พี่ตูนพูดคุยกับแฟน ๆ อีกยกใหญ่ ขอบคุณแฟน ๆ ที่ให้การสนับสนุน และพูดถึงความสำเร็จในวันนี้ที่เดินมาไกลเกินฝัน ย้อนความรู้สึกว่าตอนสมัยมัธยมที่เล่นให้เพื่อนในห้องดูไม่กี่คนก็มีความสุขไม่ต่างกับการเล่นในสนามกีฬาที่มีคนดู 5-6 หมื่น

จากนั้นเล่นเพลงช้าสุดฮิตเพลงหนึ่งของวง คือ “เปราะบาง” ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์เล่นเพลงสดใสอย่าง “เตรียมตัวตาย” จากอัลบั้มก่อนหน้านี้ และ “ไม่แก่ตาย” เพลงที่มาพร้อมแขกรับเชิญคนแรก คือ โจอี้บอย ตามด้วย “ความเชื่อ” สุดยอดเพลงฮิตของวงที่โจอี้บอยทำหน้าที่เพิ่มความพิเศษให้กับเพลงแทนป๋าแอ๊ด คาราบาว ซึ่งก็ยังให้ความรู้สึกทรงพลังและชวนขนลุกได้เหมือนเดิม และน่าจะเป็นเพลงที่คนดูร้องเสียงดังที่สุดในคอนเสิร์ตด้วย

ตามด้วยเซตเพลงรักอกหักเรียกน้ำตา ทั้ง “ความรักทำให้คนตาบอด”, “ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ” และ “ความรัก” ที่คนดูกรี๊ดสลับกับช่วยกันร้องเสียงดังอย่างน่าประทับใจ

แล้วเสียงกรี๊ดก็ดังสนั่นเมื่อสาวชุดขาวปรากฏตัวบนเวที เธอคนนั้นคือปาล์มมี่ที่มาร่วมร้องเพลง “นิรันดร์” เพลงอัลบั้มใหม่ของบอดี้สแลมที่ปาล์มมี่ฟีเจอริ่ง เพลงนี้คิดว่าจะพิเศษแล้ว แต่เริ่มได้สัญญาณว่าจะมีอะไรพิเศษกว่าเมื่อได้ยินเสียงแคนแว่วเบา ๆ และพี่ตูนบอกว่าจะให้ปาล์มมี่ร้องอีกเพลง แล้วก็เป็นไฮไลต์ของคอนเสิร์ตเมื่อปาล์มมี่ทำหน้าที่ร้องหมอลำในเพลง “คิดฮอด” แทนศิริพร อำไพพงษ์ ซึ่งปาล์มมี่ก็ทำได้ดีเยี่ยมอย่างกับเป็นหมอลำมืออาชีพ

จบจากความตื่นตาตื่นใจกับการร้องหมอลำของปาล์มมี่กับแดนเซอร์ 24 ชีวิต ผ่อนอารมณ์ด้วยเพลงใหม่ “ครึ่ง ๆ กลาง ๆ” ส่งต่อเข้าสู่อีกช่วงความพิเศษ คือ เซตเพลงออร์เคสตร้า 3 เพลง “ขอบฟ้า” “ความฝันกับจักรวาล” และ “ชีวิตยังคงสวยงาม” ซึ่งเรียบเรียงเสียงประสานออกมาได้อย่างสวยงาม ติดที่เพลงขอบฟ้า พาร์ตดนตรีร็อกเข้มข้นจนเสียงเครื่องสายเกือบจะจม

จบเซตออร์เคสตร้า พี่ตูนคนดูเล่นเวฟแสงไฟโทรศัพท์ เป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจมาก จากนั้นพูดคุยกับแฟนเพลงอีกยกใหญ่ ก่อนเข้าสู่ช่วงเพลงเก่าและเก่ามาก “ทางกลับบ้าน” ต่อด้วย “ปลายทาง” “ไม่รู้เมื่อไหร่” และ “สักวันฉันจะดีพอ” สามเพลงจากสองอัลบั้มแรกที่แฟน ๆ คิดถึงและรีเควสต์กันไปทางอินสตาแกรม แล้ววงก็จัดให้ ถูกอกถูกใจร้องกันเสียงดังเช่นเคย

จากนั้นเป็นเพลง “เสียดาย” ของพี่เบิร์ดที่บอดี้สแลมนำมาทำใหม่ในโปรเจ็กต์พิเศษเมื่อหลายปีก่อน ตามด้วยสองเพลงใหม่ล่าสุด “วิชาตัวเบา” และ “ผักบุ้งลอยฟ้า” เพลงสนุก ๆ ที่มีกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ มาฟีเจอริ่ง และกอล์ฟก็ยังอยู่ต่ออีกเพลง ในเพลง “ดัม-มะ-ชา-ติ” เวอร์ชั่นออร์เคสตร้า ตามด้วย “149.6” อีกเพลงรักมุมมองบวก ๆ จากอัลบั้มล่าสุด ที่แม้จะเพิ่งออกมาใหม่ แต่แฟนเพลงก็ช่วยร้องกันได้ไม่น้อยเลย

เข้าสู่ช่วงท้าย สาดความมันแบบเน้น ๆ ด้วย 3 เพลงเร็วสุดมันที่เป็นเพลงชาติของบอดี้สแลม ทั้ง “ยาพิษ” “อกหัก” และแน่นอนเพลงสุดท้ายต้องเป็น “แสงสุดท้าย” ที่ส่งท้ายให้กลับบ้านแบบไม่เหลือเรี่ยวแรงกันเลยทีเดียว เพลงแสงสุดท้ายประมาณ 23.45 น. แล้วยังมีเพลงที่ 35 ที่พี่ตูนร้องคลอระหว่างที่วงแจกของให้คนดูอีก กว่าที่จะจบจริง ๆ ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน !

สำหรับคอนเสิร์ตนี้ การแสดงของวงไม่มีอะไรจะติเลยจริง ๆ เพราะวงมีพลังงานเล่นต่อเนื่องในมาตรฐานปกติได้ 4 ชั่วโมงกว่า ๆ นั้นถือว่าศักยภาพสูงสุด ๆ แล้ว ส่วนที่อยากติคือโปรดักชั่นที่เสียงยังไปไม่ถึงในบางจุด และเวทีเตี้ยมากจนทำให้ผู้ชมในโซนยืนมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวที ต้องอาศัยมองภาพจากจอ ซึ่งก็ไม่ได้สูงกว่าระดับเวทีเท่าไหร่นัก

บอดี้สแลมเคยบอกเรื่องการเลือกเพลงมาเล่นในคอนเสิร์ตว่า “เลือกเพลงที่ทุกคนอยากฟัง เพลงที่ทุกคนน่าจะมีประสบการณ์ร่วม ขึ้นอินโทรมา ร้องท่อนฮุกมาทุกคนอาจจะย้อนไปในช่วงที่เราอยู่กับเพลงนี้ ตอนนั้นเราทำอะไรอยู่ เราคิดถึงใคร เรารักใคร อยากให้ทุกคนมีความสุขกับเพลงที่ตัวเองมีประสบการณ์ร่วม ที่เคยร้องไห้กับมัน หรืออะไรก็ตาม ผมอยากให้เกิดมวลแบบนี้ขึ้นในคอนเสิร์ต”

แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้น คงไม่มีใครในคอนเสิร์ตที่ไม่มีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า และต้องมีเพลงใดเพลงหนึ่งใน 34 เพลงที่ทำให้คิดถึงความทรงจำในบางช่วงเวลาของชีวิต


ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ภาพความสุข สนุกสนาน ตั้งแต่ก่อนคอนเสิร์ตเริ่มไปจนหลังคอนเสิร์ตจบ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในสีหน้าและแววตาของทุกคน …มวลความสุขที่เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตมันมีขนาดใหญ่มากจนเอ่อล้นออกมานอกสนามราชมังคลาฯ ให้คนภายนอกได้รับรู้ด้วย และจะถูกจดจำพูดถึงไปอีกนาน