เป้าหมาย Apple TV+ ไม่ใช่แค่แชร์ตลาดสตรีมมิ่ง แต่มุ่งสร้างหนังชิงออสการ์ปีละ 6 เรื่อง

Apple บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เบอร์ต้นของโลกแถลงข่าวไปตั้งแต่ต้นปีแล้วว่าปลายปีนี้จะเปิดตัว Apple TV แอปพลิเคชั่นดูทีวีรูปแบบใหม่ที่ Apple มั่นใจมากว่าโปรดักต์ใหม่นี้มีดีกว่าเจ้าอื่น

“นี่คือทีวีในแบบที่คุณอยากดูมาโดยตลอด ทั้งช่องเคเบิ้ลและช่องระดับพรีเมี่ยมที่คุณต้องการ ภาพยนตร์นับพัน ๆ เรื่องให้ซื้อหรือเช่า และบริการสตรีมมิ่งยอดนิยมต่าง ๆ รวมถึงรายการและภาพยนตร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเราโดยเฉพาะที่คุณจะได้ชมภายในปีนี้ทาง Apple TV+ เรียกได้ว่านี่คือประสบการณ์ที่ผ่านการคัดสรรและปรับแต่งมาเพื่อช่วยให้คุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณชื่นชอบมากขึ้น และทั้งหมดนี้รวมอยู่ในที่เดียว ก็คือบนทุกหน้าจอของคุณนั่นเอง” คือคำโฆษณา Apple TV บนเว็บไซต์ทางการ จะเป็นอย่างที่โฆษณาไว้หรือไม่ก็ต้องรอดู

Apple จะเปิดให้บริการ Apple TV ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะเป็นเดือนพฤศจิกายน

จุดขายของ Apple TV เห็นจะเป็น Apple TV+ บริการสตรีมมิ่งที่จับมือพาร์ตเนอร์สร้างคอนเทนต์เฉพาะของตัวเอง ทั้งหนังและซีรีส์

“สตรีมมิ่งใหม่แกะกล่องที่มาพร้อมรายการที่นักสร้างสรรค์ระดับแถวหน้าของวงการทีวีและภาพยนตร์ผลิตขึ้นมาเพื่อเราโดยเฉพาะ” Apple โฆษณาเอาไว้แบบนี้

วิดีโอสตรีมมิ่งเป็นตลาดใหญ่และแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นเรื่อย ๆ และยังไม่น่าจะอิ่มตัวในเวลาอันใกล้นี้ เพราะเป็นบริการที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในอนาคต ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ต้องการเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งในตลาดนี้

การประกาศลงสนามแข่งขันทางธุรกิจกับ Netflix ผู้ครองอันดับ 1 ในตลาดสตรีมมิ่ง Apple ไม่ได้แค่ต้องการแชร์ส่วนแบ่งตลาดสตรีมมิ่งเท่านั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องศึกศักดิ์ศรีด้วย ระดับยักษ์ใหญ่เมื่อตัดสินใจลงสนามทั้งทีก็จะต้องแข่งและแย่งชิงความเหนือกว่าในทุกทาง ดังนั้นเนื่องจากปีนี้ Netflix ส่งภาพยนตร์คุณภาพเยี่ยมเรื่อง Roma เข้าไปคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว Apple ผู้เข้ามาท้าชิงบัลลังก์จึงมองไปที่เป้าหมายเดียวกัน และตั้งเป้าไว้สูงกว่าซะด้วย

New York Post รายงานว่า Apple ตั้งเป้าจะสร้างหนังคุณภาพระดับเข้าชิงรางวัลออสการ์ให้ได้ปีละมากถึง 6 เรื่อง โดยอ้างคำบอกเล่าของแหล่งข่าวในฮอลลีวูดว่า “ตั้งแต่ที่ประกาศตัวว่าจะแข่งกับ Netflix ทาง Apple ก็กำลังยุ่งกับการหางบประมาณสำหรับโปรเจ็กต์ใหม่ที่ตั้งเป้าจะทำหนังที่มีศักภาพเข้าชิงและชนะรางวัลออสการ์ปีละ 6 เรื่อง”

แหล่งข่าวคนเดียวกันนี้บอกว่า Apple ได้พูดคุยกับผู้กำกับชั้นนำและทีมงานทำหนังฝีมือดีในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเงินทุนสำหรับการทำหนังที่มีศักยภาพพอจะคว้ารางวัลออสการ์ เขาบอกอีกว่า ความสำเร็จของ Roma ภาพยนตร์จาก Netflix ที่คว้ารางวัลออสการ์เมื่อต้นปี 2019 เป็นแรงขับสำคัญให้ Apple ตั้งเป้าหมายนี้

ถึงแม้จะตั้งเป้าชิงออสการ์ แต่ Apple จะทำหนังที่ใช้งบประมาณน้อยถึงปานกลาง ไม่ได้สร้างหนังฟอร์มยักษ์แต่อย่างใด โดยจะใช้เงิน 5-30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/เรื่อง (ประมาณ 156-937 ล้านบาท/เรื่อง) และเน้นร่วมงานกับสตูดิโอเล็ก ๆ ที่มีคุณภาพในฮอลลีวูด

แหล่งข่าวบอกอีกว่า โปรเจ็กต์ทำหนังชิงรางวัลปีละ 6 เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับสตูดิโอ A24 สตูดิโอหนังอินดี้ที่ทำหนังประสบความสำเร็จอย่าง Moonlight (2016) ซึ่งมีข้อตกลงจะทำคอนเทนต์ร่วมกันหลายโปรเจ็กต์ในเวลาหลายปี โดยโปรเจ็กต์แรกคือจะทำหนังเรื่อง On the Rocks กำกับโดย โซเฟีย คอปโปลา นำแสดงโดย บิลล์ เมอร์เรย์ และ ราชิดา โจนส์

ส่วนความคืบหน้าในเว็บไซต์ทางการของ Apple ในส่วน Apple TV+ ได้เผยแพร่ตัวอย่างภาพยนตร์และซีรีส์ให้ดูแล้ว 3 เรื่อง คือ The Morning Show นำแสดงโดย เจนิเฟอร์ อนิสตัน และ รีส วิทเธอร์สพูน, See นำแสดงโดย เจสัน โมโมอา, For All Mankind นำแสดงโดย โจแอล คินนาแมน

จากคำโฆษณาที่บอกไว้เผยให้เห็นว่ากลยุทธ์ของ Apple TV+ คือ การดึงผู้กำกับ ทีมงาน และนักแสดงระดับแถวหน้าของฮอลลีวูดมาร่วมโปรเจ็กต์ ซึ่งชื่อที่มีการเอ่ยถึงผ่านสื่อแล้วก็อย่างเช่น พ่อมดแห่งฮอลลีวูด สตีเวน สปีลเบิร์ก, เจ.เจ. เอบรามส์, เดเมียน ชาเซลล์

ดูจากระดับชื่อชั้นแล้ว ผู้กำกับบิ๊กเนมเหล่านี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์หนังชิงรางวัล 6 เรื่องที่ว่าจะเป็นหนังทุนต่ำ อีกทั้งชื่อเหล่านี้ถูกเปิดเผยออกมาก่อนหน้าหลายเดือนแล้ว ขณะที่โปรเจ็กต์สร้างหนังชิงรางวัลออสการ์ยังเป็นเพียงข่าวที่หลุดลอดออกมาจากแหล่งข่าวเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า ผู้ชมจะได้ชมทั้งหนังใหญ่ฟอร์มยักษ์จากผู้กำกับชื่อดัง และหนังทุนต่ำแต่มีคุณภาพจากสตูดิโอเล็ก ๆ ในที่เดียวกัน