เลสเตอร์ แชมป์แชมเปี้ยนชิพ ย้อนเส้นทาง-ปัจจัยความสำเร็จ เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก

Leicester City
REUTERS

“เลสเตอร์ ซิตี้” คว้าแชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิพ สมัยที่ 8 มาครองอย่างเป็นทางการ หลังจากการันตีเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จไปก่อนหน้านี้ ฤดูกาล 2023-24 จิ้งจอกสยามต้องเผชิญเรื่องราวมากมายทั้งในและนอกสนาม ชวนย้อนเส้นทางและปัจจัยความสำเร็จของเลสเตอร์ในฤดูกาลนี้

“วันนี้ พวกเราทุกคนเจ็บปวดและผิดหวัง…แต่พวกเราจะกลับมาอีกครั้ง” ส่วนหนึ่งที่ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ส่งสารถึงแฟนบอลหลังจบฤดูกาล 2022-23 ที่ต้องตกมาเล่นในลีกแชมเปี้ยนชิพ

หลังจากนั้น “จิ้งจอกสยาม” ก็สามารถก้าวขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้อีกครั้ง โดยใช้เวลาเพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น

เลสเตอร์ ซิตี้ การันตีคว้าแชมป์ฟุตบอลแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ฤดูกาล 2023-24 อย่างเป็นทางการแล้ว หลังบุกไปถล่ม “เปรสตัน” ขาดลอย 3-0 ประตู เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา

ผลการแข่งขันที่เกิดขึ้น ทำให้เลสเตอร์ เก็บเพิ่มเป็น 97 คะแนน จากการแข่งขันทั้งหมด 45 นัด มีคะแนนมากกว่าทีมอันดับ 2 อย่าง “ลีดส์ ยูไนเต็ด” ที่แข่งเท่ากัน 7 คะแนน และมากกว่าทีมอันดับ 3 อย่าง “อิปสวิช ทาวน์” 7 คะแนน ที่เหลือการแข่งขันอีก 2 นัด เท่ากับว่าไม่มีทีมใดสามารถไล่ตามเลสเตอร์ได้ทันแล้ว

Advertisment

การคว้าโทรฟี่แชมเปี้ยนชิพครั้งนี้ ถือเป็นแชมป์สมัยที่ 8 ของเลสเตอร์แล้ว หลังจากที่เคยได้มาก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 1924-25, 1936-37, 1953-54, 1956-57, 1970-71, 1979-80 และ 2013-14 กลายเป็นทีมที่คว้าแชมเปี้ยนชิพได้มากที่สุดตลอดกาลแซงหน้า “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ที่เคยทำให้ 7 สมัย

นอกจากนี้ ทัพจิ้งจอกสยาม ยังมีลุ้นคว้าแชมป์แบบ 100 คะแนนอีกด้วย หากเอาชนะ “แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส” ได้ในวันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคมนี้ นับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของเลสเตอร์ ที่กลับสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้ง หลังตกชั้นไปเพียงฤดูกาลเดียว

Leicester City
อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา-เอ็นโซ่ มาเรสก้า ภาพจาก REUTERS

เอ็นโซ่ มาเรสก้า

เลสเตอร์ ซิตี้ แยกทางกับ “ดีน สมิธ” ซึ่งไม่สามารถทำทีมอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้ ก่อนสโมสรจะไปดึง “เอ็นโซ่ มาเรสก้า” ที่เคยเป็นผู้ช่วยของ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” เข้ามากู้วิกฤต โดยเซ็นสัญญาคุมทีมเป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งนับเป็นการเลือกที่ถูกต้องและเป็นอีกหนึ่งคีย์ซักเซส

มาเรสก้า สามารถคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนของแชมเปี้ยนชิพ ได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ถือเป็นการเริ่มต้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเป็นเดือนแรกที่เริ่มการแข่งขันในลีก โดยชนะไป 12 จาก 13 เกม ทั้งยังสามารถคว้ารางวัลนี้ได้อีกครั้งในเดือนตุลาคมและธันวาคม

Advertisment

ผลงานที่ดีที่สุดของเลสเตอร์คือการชนะ 9 นัด ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนถึงปลายเดือนตุลาคม และไม่แพ้ใคร 10 นัดตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงวันปีใหม่ แม้จะพบกับความพ่ายแพ้ในขั้นที่น่ากังวลอยู่บ้างในช่วงปลายฤดูกาล โดยแพ้ 6 จาก 10 เกม ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ปี 2024

แม้จะตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก และต้องเริ่มต้นลีกรองด้วยการเสียผู้เล่นคนสำคัญไป ทั้ง เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วีย์ บาร์นส์, ยูริ ติเลอม็องส์, จอนนี่ อีแวนส์ และ อโยเซ่ เปเรซ เป็นต้น แต่เลสเตอร์ ก็เสริมทัพได้อย่างน่าสนใจภายใต้ข้อจำกัดที่มี ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่ วิงส์, สเตฟีย์ มาวิดิดี้ และ คอเนอร์ โคดี้ เป็นต้น

ผลงานในลีก เลสเตอร์ ลงแข่งไปทั้งหมด 45 นัด ชนะได้ 31 นัด เสมอ 4 นัด และแพ้ไป 10 นัด ยิงได้ 89 ประตู เสียไป 39 ประตู ผลต่างประตูได้เสีย +50 และเก็บได้ถึง 97 คะแนน

“การกลับมาเป็นผู้ชนะคือความสำเร็จที่มหัศจรรย์ หลังจากการแข่งขันที่ยากลำบากและเข้มข้น ในท้ายที่สุด เราก็ทำได้ และเราได้นำสโมสรแห่งนี้ไปยังจุดที่สมควรจะอยู่” เอ็นโซ่ มาเรสก้า กล่าว

Leicester City
REUTERS

วิกฤตนอกสนาม

ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เลสเตอร์ ซิตี้ ถูกพรีเมียร์ลีกตั้งข้อหาว่าฝ่าฝืนกฎการเงิน หรือ ละเมิดกฎผลกำไรและความยั่งยืน (Profit and Sustainability Rule หรือ PSR) ในช่วง 3 ฤดูกาลหลังสุดที่ยังเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก และหากพบว่ามีความผิดจริง จิ้งจอกสยาม อาจมีความเสี่ยงถูกตัดแต้ม เหมือนหลายทีมที่โดนไปแล้วก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ได้ออกโรงปกป้องสโมสรและต่อสู้กับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ จนกระทั่ง อนุญาโตตุลาการของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ได้ตัดสินให้ เลสเตอร์ ชนะข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยสมาคมฟุตบอลลีกอังกฤษ หรือ EFL ไม่มีสิทธิหักคะแนนเลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2023-24

เนื่องด้วยการกำหนดบทลงโทษอย่างเร่งด่วนก่อนวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นการแข่งขันนัดสุดท้ายของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

Leicester City
เจมี่ วาร์ดี้ ภาพจาก REUTERS

เจมี่ วาร์ดี้ ตำนานเลสเตอร์

อีกหนึ่งคนที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ “เจมี่ วาร์ดี้” เจ้าของฉายา “เจ้าชายจิ้งจอกสยาม” ตำนานของเลสเตอร์ ซิตี้ ที่อยู่ในทุกช่วงเวลาของสโมสร ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือต้องเจอช่วงเวลาที่ผิดหวังก็ตาม

วาร์ดี้ ย้ายเข้ามาอยู่กับเลสเตอร์ตั้งแต่ปี 2012 ก่อนจะช่วยพาทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2014-15 ก่อนจะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2015-16 เจ้าตัวยิงไป 24 ประตู เลสเตอร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่หลายคนเรียกกันว่าเป็นเทพนิยาย และคว้าแชมป์เอฟเอคัพกับเลสเตอร์ในฤดูกาล 2020-21

แม้ฤดูกาลที่ผ่านมาทีมจะต้องตกชั้นลงมาเล่นในแชมเปี้ยนชิพ แต่วาร์ดี้ยังคงยืนหยัดอยู่กับสโมสรต่อ โดยเกมฉลองแชมป์ที่พบกับ เปรสตัน เมื่อคืนที่ผ่านมา วาร์ดี้ เหมาคนเดียว 2 ประตู ฤดูกาลนี้เจ้าตัวลงเล่นไปทั้งสิ้น 36 นัด ยิงได้ 20 ประตู บวกอีก 2 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ ในวัย 37 กะรัตที่มีอาการบาดเจ็บรบกวน ถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

ตลอด 12 ปีของเขากับเลสเตอร์ วาร์ดี้ยิงไปแล้ว 190 ประตู จากการลงเล่น 463 นัด กลายเป็นตำนานและไอคอนของเลสเตอร์อย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าสัญญาของวาร์ดี้กับสโมสรกำลังจะหมดลงในเดือนมิถุนายนนี้ ถ้ามีการพูดคุยต่อสัญญาใหม่ลงตัว คงได้เห็นดาวเตะผู้นี้กลับมาป่วนกองหลังบนลีกสูงสุดอีกครั้ง