
จากกรณีที่นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ระบุว่า หลังจากที่ประเทศไทยยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนไปตั้งแต่ 25 กันยายน 2566 และกำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ ล่าสุดสาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังจะยกเว้นวีซ่าให้คนไทยเช่นกัน
โดยทั้ง 2 ฝ่ายมีแผนประกาศใช้มาตรการ “วีซ่าฟรี” ระหว่างกันแบบถาวร ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 นี้เป็นต้นไป กล่าวคือทั้งคนไทยและคนจีนสามารถเดินทางไป-กลับได้ทั้ง 2 ประเทศแบบไม่ต้องมีวีซ่าซึ่งกันและกัน โดยให้พำนักได้ไม่เกิน 30 วัน
และมีแผนลงนามความตกลงภายในเดือนมกราคม หรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้
ททท.จ่อเขย่าแผนตลาดจีนใหม่
“ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บอกว่า ในส่วนของเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนที่ ททท.วางไว้ที่ 8 ล้านคน ในปี 2567 นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ปรับขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากต้องขอหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ (สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล) ก่อน
ขณะเดียวกัน ททท.ก็ต้องประชุมผู้บริหาร และผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ทั้ง 5 แห่งในจีน เพื่อทบทวนแผนการทำการตลาดอีกครั้ง
“ททท.จะต้องทำการตลาดในจีนมากขึ้น อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เพราะในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนมีปัญหา รัฐบาลจีนจึงส่งเสริมให้คนเที่ยวภายในประเทศ คนจีนจึงยังไม่ออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศมากนัก ททท.จึงมีแผนเจาะเข้าไปทำการตลาดในเมืองรองของจีนให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ยังไม่เคยเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย”
หนุนแอร์ไลน์เพิ่มไฟลต์บิน
นอกจากนี้ มองว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างกันของทั้ง 2 ประเทศ และเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวระหว่างชาวไทยและชาวจีนอย่างมาก เพราะจะทำให้นำไปสู่การเพิ่มเที่ยวบินระหว่าง 2 ประเทศมากขึ้น และค่าตั๋วโดยสารที่มีราคาลดลงได้
ปัจจัยดังกล่าวนี้จะจูงใจให้เกิดการเดินทางมากขึ้น และจะเกิดการกระจายตัว การเข้าถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มใหม่และพื้นที่ใหม่ ๆ โดยเฉพาะเมืองรองของจีนเพิ่มมากขึ้น
“ก่อนหน้านี้ ททท.ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งปี 2567 ที่ 30-35 ล้านคน ขณะที่รัฐมนตรี (รมว.ท่องเที่ยวฯ) ได้ขอให้ยืนเป้าหมาย 35 ล้านคน และมีนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 8.2 ล้านคน
สำหรับประเด็นที่เป็นห่วงกัน ว่านโยบายนี้จะทำให้คนไทยหันไปเที่ยวจีนมากนั้น “ฐาปนีย์” ยืนยันว่า ไม่ห่วงเลย โดยมองว่าไทยน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า เพราะจีนมีประชาชนถึง 1,400 ล้านคน และที่ผ่านมา ททท.ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับ 8 พันธมิตรบริษัทชั้นนำของสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงการจับมือกับสายการบินของจีนไปแล้วด้วย
สอดคล้องกับ “กีรติ กิจมานะวัฒน์” ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ AOT ที่ระบุว่า มาตรการนี้เป็นประโยชน์โดยตรงต่อ AOT และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวม โดยคาดว่าจะทำให้การเดินทางระหว่าง 2 ประเทศเพิ่มขึ้น และจะช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนสามารถกลับมามีจำนวนถึง 11 ล้านคน เท่ากับปี 2562 ได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า จากเดิมที่คาดว่าจะใช้เวลานานถึงประมาณ 3-5 ปี
“ประเทศไทยใช้มาตรการวีซ่าฟรีกับชาวจีนตั้งแต่ 25 กันยายน 2565 จนถึงปัจจุบันพบว่าช่วยให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเติบโตขึ้นแล้ว 36%”
และคาดว่า สำหรับปีนี้ประเทศไทยน่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้ถึงประมาณ 8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน 3.5 ล้านคน ขณะเดียวกันอาจทำให้ราคาตั๋วโดยสารปรับตัวลดลงได้
แนะรัฐทำตลาดหนักกว่าเดิม
ด้าน “ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร” นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุว่า มาตรการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยแน่นอน เพราะเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ซึ่งหากดำเนินการได้ตามนโยบายจะทำให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างจีนและไทยเพิ่มขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลต้องการให้บรรลุเป้าหมายมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้ถึงกว่า 8 ล้านคน ในปี 2567 นี้ ส่วนตัวมองว่ารัฐบาลยังต้องเร่งทำการตลาดอย่างหนัก โดยเฉพาะการกระตุ้นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เดินทางเป็นกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ออกเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศมากนัก
สำหรับสมาคมแอตต้าประเมินว่าในปี 2567 นี้ประเทศไทยน่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ประมาณ 6-7 ล้านคน อย่างไรก็ตามยังต้องรอประเมินสถานการณ์การเดินทางในช่วงตรุษจีนอีกครั้ง หากมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนก็จะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับปีนี้
จีนแจงอยู่ระหว่างดูรายละเอียด
ขณะที่ “วัง เหวินปิน” โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ตอบคำถามสื่อกรณีดังกล่าวนี้ว่า ปัจจุบันจีนและไทยได้บรรลุความคืบหน้าในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและประชาชนระหว่างกัน การให้ฟรีวีซ่าแก่พลเมืองซึ่งกันและกันจะยังประโยชน์พื้นฐานให้แก่ 2 ประเทศ
อย่างไรก็ตามปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของ 2 ประเทศกำลังประสานงานอย่างใกล้ชิดเพื่อกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ที่แน่นอน และกำลังรอการเตรียมการและจัดการด้านต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และจะประกาศให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด
ด้าน Trip.com บริษัทเอเยนซี่ท่องเที่ยวรายใหญ่ของจีนระบุว่า หลังจากที่มีข่าวไทย-จีนจะประกาศให้ฟรีวีซ่าซึ่งกันและกันออกมา พบว่า คำสืบค้นเกี่ยวกับประเทศไทยพุ่งกระฉูดร้อยละ 90 การค้นหาเที่ยวบินเส้นทางเซี่ยงไฮ้ไปกรุงเทพฯ และเส้นทางปักกิ่งไปกรุงเทพฯ ฯลฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 40
และยังพบด้วยว่าปริมาณยอดจองโปรแกรมท่องเที่ยวจากจีนมาไทยตั้งแต่วันที่ 2 มกราคมไปถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน (ซึ่งตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567) ปรับตัวสูงขึ้น 10 เท่า เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
ขณะที่ปริมาณยอดจองโปรแกรมท่องเที่ยวจากไทยไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 779 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
เอกชนลุ้นจีนคอนเฟิร์ม
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรายหนึ่งมองว่าประเด็นดังกล่าวนี้น่าจะเป็นผลสืบเนื่องจากมาตรการยกเว้นวีซ่า (visa exemption) ที่รัฐบาลไทยให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 และรัฐบาลไทยอยากต่อมาตรการออกไป จึงเจรจากับทางจีนเพื่อให้ยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยด้วย
โดยเท่าที่ทราบนายกรัฐมนตรี (เศรษฐา ทวีสิน) ได้ไปเยือนจีนและได้หารือกับ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2566 (หลังที่ไทยยกเว้นวีซ่าให้กับจีนแล้ว) และขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายจัดทำความตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน จากนั้นก็มีการคุยกันเป็นระยะในระดับรัฐมนตรี และตั้งคณะทำงานร่วมกัน
แต่ ณ เวลานี้ยังไม่แน่ชัดว่าทางรัฐบาลจีนเห็นชอบและบรรลุข้อตกลงตามที่รัฐบาลไทยแถลงข่าวไปแล้ว เพราะเท่าที่ติดตามข้อมูลทราบว่า ทางฝ่ายจีนยังไม่คอนเฟิร์มว่า “บรรลุข้อตกลง” แล้ว
พร้อมให้ข้อมูลว่า ปกติหลักการยกเว้นวีซ่าให้ประเทศใดประเทศหนึ่ง รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายต้องเจรจาร่วมกัน เราฟรีให้เขา เขาก็ต้องฟรีให้เราด้วย แต่ที่ผ่านมาเราอยากได้นักท่องเที่ยวจีน และประกาศยกเว้นวีซ่าให้เขาฝ่ายเดียว ซึ่งทางการทูตเหมือนไปกดดันให้ทางจีนยกเว้นให้ไทยด้วยเช่นกัน
และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลไทยกดดันฝ่ายจีน โดยประกาศไปก่อนว่า จะมีการยกเว้นแบบถาวรระหว่าง 2 ประเทศ
สำหรับภาคเอกชนเรามองว่าประเด็นนี้ยังต้องลุ้นทีท่าของรัฐบาลจีนต่อไป