“เอสโฮเทลฯ” เตรียม 1.5 หมื่นล้าน ขยายพอร์ตทั่วโลกใน 5 ปีข้างหน้า

เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท

“เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” เร่งสร้างการเติบโต-ผลกำไร ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก หวังกวาดรายได้ปี’67 แตะ 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมยกระดับ-เพิ่มมูลค่าโรงแรมในจุดหมายปลายทางสำคัญทั่วโลก เตรียมเงินซื้อ-ควบรวมกิจการเพิ่มอีก 1.5 หมื่นล้านขยายพอร์ตโฟลิโอใน 5 ปีข้างหน้า

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 นายไมเคิล มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) บริษัทบริหารธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตในเครือสิงห์ เอสเตท เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 ว่า

บริษัทจะมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไรด้วย 4 กลยุทธ์ ประกอบด้วย 1.ขับเคลื่อนประสิทธิภาพ มุ่งสร้างการเติบโต โดยมีแผนที่จะยกระดับศักยภาพในการสร้างอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้น 3-5%

ADVERTISMENT

โดยดำเนินการผ่านปัจจัยการเติบโต 3 ด้าน ได้แก่ อัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน ซึ่งตั้งเป้าว่าจะเติบโต 25% จากยอดการจองห้องพักในมัลดีฟส์ และค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 20 จากการปรับปรุงห้องพักของโรงแรมในฟิจิและไทย และการเปิดตัวของโซ/มัลดีฟส์

และตั้งเป้าการเติบโตของรายได้อื่นนอกเหนือจากการเข้าพัก (Nonroom Revenue) ที่ 15% โดยให้ความสำคัญกับการนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของแบรนด์ พร้อมแผนเปิดตัวบีชคลับในทุกรีสอร์ตในเครือแบรนด์ทราย (SAii) และตอบรับความต้องการในตลาดไมซ์ (MICE)

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ ยังมีแผนยกระดับระบบการจัดซื้อแบบรวมศูนย์ และควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยไม่กระทบต่อคุณภาพของบริการ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้น (Gross Profit) เพิ่มขึ้น 20% โดยตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2567 ที่ 12,000 ล้านบาท

2.ปลดล็อกศักยภาพของพอร์ตโฟลิโอ โดยยกระดับพอร์ตโฟลิโอและหมุนเวียนสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง พร้อมตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนภายในไว้ที่ 12-15% โดยต่อยอดแผนการปรับปรุงโรงแรมในประเทศไทยที่ทราย ลากูน่า ภูเก็ต และทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และรีแบรนด์โรงแรมในสหราชอาณาจักรในพื้นที่ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยว

ADVERTISMENT

3.เติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด โดยมีแผนยกระดับแบรนด์ โดยสร้างการจดจำแบรนด์ทราย (SAii) ในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแบบลักเซอรี่อย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ในระดับโลก สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวว่าการเข้าพักจะสร้างผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยที่สุด พร้อมจะนำความแข็งแกร่งของแบรนด์มาต่อยอดในการสร้างการเติบโตที่ยืดหยุ่นขึ้น และมีข้อจำกัดที่ลดลง

โดยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดจำนวนไม่น้อยกว่า 50 แห่ง ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะอยู่ภายใต้โมเดลธุรกิจแบบ Asset-light อาทิ สัญญาบริหารโรงแรม หรือภายใต้การเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ และการร่วมลงทุนอันจะนำไปสู่การเพิ่มขนาดพอร์ตโฟลิโอและรายได้รวมของบริษัทเป็น 2 เท่าตัว

และ 4.ปักหมุดรุกตลาดใหม่ โดยได้จัดสรรงบฯในการลงทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาท เพื่อซื้อและควบรวมกิจการตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า โดยยังคงพุ่งเป้าไปที่จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในภาคพื้นทวีปยุโรปในแถบเมดิเตอร์เรเนียน สหราชอาณาจักร แถบมหาสมุทรอินเดีย เอเชีย-แปซิฟิก และฟิจิ

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอ และสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้ รวมถึงลดความผันผวนทางฤดูกาลของโรงแรมในเครืออีกด้วย

สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมานั้น นายไมเคิลกล่าวว่า จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก และข้อได้เปรียบจากสถานที่ตั้งโรงแรมในเครือซึ่งอยู่ในจุดหมายปลายทางสำคัญ เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้บริษัทบรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้รวม 10,000 ล้านบาท และรักษาตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทย