ไทยสมายล์มุ่งบริการดิจิทัล ตอบโจทย์สังคม “ไร้เงินสด”

“ไทยสมายล์” มุ่งเน้นตอบสนองเทรนด์ธุรกรรมการเงินดิจิทัลรับสังคมไร้เงินสด รุกเปิดให้บริการชำระค่าตั๋วโดยสารผ่านคิวอาร์โค้ดบนแอปพลิเคชั่น K-PLUS รวมถึงโมบายแบงกิ้งทุกธนาคาร มั่นใจเป็นสายการบินพาณิชย์รายแรกของไทยที่มีความพร้อมด้าน e-Tax invoice ลูกค้าสามารถจัดการกับใบกำกับภาษีได้ด้วยตนเอง

นางชาริตา ลีลายุทธ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบริหารองค์กร สายการบินไทยสมายล์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สายการบินไทยสมายล์ได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเต็มตัว ด้วยการเพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวกในการชำระค่าตั๋วเครื่องบิน โดยเปิดให้บริการชำระค่าตั๋วเครื่องบินด้วยคิวอาร์โค้ด (QR code) ผ่านแอปพลิเคชั่น K-PLUS และโมบายแบงกิ้งของทุกธนาคาร

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าไทยสมายล์ 13 จุดทั่วประเทศ ได้แก่ สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดี, สนามบินสุวรรณภูมิ, ศูนย์บริการลูกค้าไทยสมายล์เชียงราย, เชียงใหม่, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, อุดรธานี, ภูเก็ต หาดใหญ่, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, นราธิวาส และ PLAI (รัฐสภา)

“การขยายช่องทางการให้บริการชำระเงินมากขึ้น โดยเฉพาะรูปแบบดิจิทัลนั้น นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่รัฐบาลพยายามขับเคลื่อนแล้ว กระแสการเข้าสู่กระแสสังคมไร้เงินสดได้เริ่มมีอิทธิพลต่อไลฟ์สไตล์ของทุกคนมากขึ้น ไทยสมายล์จึงต้องเดินหน้านโยบายการเงินดิจิทัลให้เท่าทัน เพื่อตอบสนองความหลากหลายและสร้างความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าคนสำคัญ” นางชาริตากล่าวและว่า

ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแล้ว บริษัทต้องปรับตัวให้เร็วและก้าวทันตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งการให้บริการชำระด้วยคิวอาร์โค้ดเหมาะกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าในยุคนี้อย่างมาก เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง สะดวกสบาย และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับลูกค้าที่มีความกังวลและไม่ชอบการใช้ก่อนจ่ายทีหลังด้วยบัตรเครดิต

นางชาริตากล่าวว่า หลังจากที่ทดสอบระบบให้ลูกค้าใช้บริการจ่ายด้วยคิวอาร์โค้ดตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าได้รับผลตอบรับที่ดี ลูกค้าเปลี่ยนใจจากการชำระด้วยเงินสดมาใช้วิธีใหม่นี้มากขึ้น จึงเชื่อมั่นว่าช่องทางนี้นอกจากจะช่วยตอกย้ำการสร้างสังคมไร้เงินสด ทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบายแล้ว ยังทำให้ระบบการจัดการการเงินและบัญชีขององค์กรมีความคล่องตัว มีความรวดเร็วในการทำงานด้วย

นอกจากนี้ไทยสมายล์ยังมองลึกไปถึงความต้องการของลูกค้ากลุ่มองค์กร (corporate customer) และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 20-30% แต่ไทยสมายล์ก็เล็งเห็นถึงความจำเป็นของลูกค้ากลุ่มนี้ที่ต้องนำใบเสร็จรับเงินไปใช้อ้างอิง จึงเปิดให้บริการ e-Receipt ซึ่งลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลส่วนตัว ประกอบกับข้อมูลการเดินทางกับไทยสมายล์ผ่านเว็บไซต์ www.thaismileair.com โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการเพียง 2-3 นาทีเท่านั้นก็จะได้ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเซฟเก็บลงในมือถือหรือคอมพิวเตอร์ หรือพรินต์ออกมาเพื่อนำไปใช้งานได้ทันที

“โปรแกรมนี้ถือเป็นโปรแกรมการให้บริการที่ได้รับประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ผู้โดยสารได้รับเอกสารเร็วขึ้น ไม่ต้องรอคอยอีกต่อไป ขณะเดียวกันก็ช่วยแก้ปัญหาความผิดพลาดในการกรอกข้อมูลได้อีกด้วย โดยหลังจากทดลองใช้ e-Receipt มาได้ 1 เดือน พบว่ามีลูกค้าให้ความสนใจใช้บริการนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ”

ขณะเดียวกันไทยสมายล์ยังมีไฮไลต์สำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกรรมการเงินในรูปแบบดิจิทัลไปโดยสิ้นเชิง โดยมีความพร้อมจะเป็นสายการบินพาณิชย์รายแรกของไทยที่สร้างสรรค์ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Tax invoice นำเสนอความสะดวกสบายและตอบสนองการใช้ชีวิตสุดสมาร์ทของผู้โดยสาร รวมทั้งยังตอบสนองมิติใหม่ของระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรอีกด้วย

โดยลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลเพื่อขอใบกำกับภาษีได้ด้วยตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ จากนั้นไทยสมายล์จะจัดส่งเอกสารไปตามที่อยู่ที่ระบุไว้ โดยใช้ระยะเวลาในการดำเนินการทั้งหมดประมาณ 5-7 วันทำการ ส่วนในอนาคตอันใกล้นี้ไทยสมายล์กำลังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐอย่างเข้มข้น เพื่อผลักดันให้ลูกค้าสามารถออกใบกำกับภาษีด้วยตนเอง หรือ e-Tax invoice

“การลงทุนด้านดิจิทัลนั้นคุ้มค่าและได้ผลที่ดี สามารถเชื่อมต่อระบบงานทั้งหมดให้เดินหน้าต่อไปได้ ทั้งยังจัดการกับปัญหางานเอกสารของบุคลากร ลดปริมาณการใช้กระดาษ และทำให้ระบบการเงินและบัญชีขององค์กรมีความคล่องตัว นี่คือเหตุผลที่เราต้องมาโฟกัสใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อปรับปรุงและพัฒนางานบริการต่อไปในอนาคต อาทิ การนำ chatbot มาใช้ในการตอบคำถาม, การปรับปรุง mobile app ให้ตอบสนองการใช้งานมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็พร้อมผลักดัน partner strategic จับมือพันธมิตรสถาบันการเงินทั้งไทยและต่างประเทศมากขึ้น เพื่อให้รูปแบบการเงินดิจิทัลเป็นเรื่องง่าย และส่งเสริมไลฟ์สไตล์สังคมไร้เงินสดได้อย่างเป็นรูปธรรม” นางชาริตากล่าว