‘ดิเอราวัณ’ บุกไทยเที่ยวไทย ลุยลงทุนแบรนด์ ‘ฮ็อปอินน์’

“ดิ เอราวัณ” เผยไวรัสโควิด-19 ทุบยอดจองห้องพักหดตัวกว่า 60% กระทบรายได้รวม งัดแผนเพิ่มรายได้-ลดต้นทุน หันจับตลาด “ไทยเที่ยวไทย” พร้อมเดินหน้าลงทุนแบรนด์ “ฮ็อปอินน์” เพิ่มปีละ 7-10 แห่ง คาดมีโรงแรมในเครือทะลุ 100 แห่งในอีก 4 ปีข้างหน้า

นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกในขณะนี้ ทำให้บริษัทคาดว่ารายได้รวมและรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) สำหรับปีนี้จะได้รับผลกระทบและลดลงจากปีก่อนแน่นอน จากเดิมที่บริษัทจะตั้งเป้าทำรายได้เติบโตไว้ที่ราว 10%

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจโลก ค่าเงินบาทแข็งค่า และการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านที่ขยับตัวสูงขึ้น และเผชิญกับไวรัสโควิด-19 ซ้ำอีก ทำให้รายการจองห้องพักในเดือนเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2563 หดตัวลงไปถึง 50-60% หากสถานการณ์ยืดเยื้อกว่า 5 เดือนอาจจะส่งผลกระทบมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 

นายเพชรกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทได้เตรียมแผนการเผชิญหน้ากับวิกฤต โดยการปรับแผนการดำเนินการ (action plan) ใหม่ ประกอบด้วยการเพิ่มรายได้ การลดต้นทุน และการจัดการสภาพคล่อง โดยในส่วนของการเพิ่มรายได้จะเน้นการทำตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว อย่างตลาด “ไทยเที่ยวไทย” ที่จะกลายเป็นตลาดสำคัญของผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยและเป็นตลาดที่มีโอกาสมากที่สุด โดยมีตลาดยุโรป รัสเซีย อินเดีย และตะวันออกกลางที่ยังพบเห็นการเดินทางอยู่เป็นตลาดเสริม

นอกจากนั้น ยังเตรียมรักษาราคาในตลาดให้แข่งขันได้และมอนิเตอร์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามแนวทางการฟื้นฟูเพื่อให้สามารถทำตลาดได้ทันเวลาเมื่อตลาดฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่ส่วนของการลดต้นทุนจะรักษาต้นทุนการปฏิบัติการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของแต่ละโรงแรม เน้นประหยัดพลังงานใช้เท่าที่จำเป็น 

สำหรับแผนการบริหารสภาพคล่องซึ่งดิ เอราวัณมียอดเงินกู้ยืมจากธนาคารกว่า 1 หมื่นล้านบาทนั้น บริษัทได้ดำเนินการทำเรื่องผ่อนผันเลื่อนการชำระเงินกู้ ทั้งในส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวน 790 ล้านบาท จากจำนวนชำระเต็ม 1,000 ล้านบาทของปีนี้ โดยดิ เอราวัณจะขอเลื่อนชำระในปีสุดท้ายของสัญญากู้แทน พร้อมกับจะระมัดระวังการลงทุนให้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปี 2562 ที่ผ่านมา โรงแรมกลุ่มประหยัด (budget hotel) ของดิ เอราวัณอย่างแบรนด์ “ฮ็อปอินน์” เป็นกลุ่มที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและฟิลิปปินส์ บริษัทจึงยังมุ่งมั่นที่จะขยายเครือข่ายด้วยการเปิดฮ็อปอินน์เพิ่มอีก 7 แห่งในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ฮ็อปอินน์มีเครือข่ายกว่า 50 แห่งใน 37 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงในฟิลิปปินส์อีก 5 แห่ง

“เราเชื่อว่าการเดินหน้าเข้าสู่ตลาดโรงแรมประหยัดด้วยแบรนด์ฮ็อปอินน์นั้นมาถูกทาง ด้วยช่วยให้บริษัทสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทยได้มากขึ้นจนมีสัดส่วนกว่า 20% ช่วยให้บริษัทกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยอื่น ๆ และลดผลกระทบจากการหายไปของลูกค้าจีนซึ่งมีสัดส่วนกว่า 12% ได้ รวมถึงยังทำให้ลูกค้าในตลาดฟิลิปปินส์อีกด้วย” 

นายเพชรยังกล่าวด้วยว่า สำหรับแผนระยะยาวนั้นบริษัทจะยังคงเดินหน้าลงทุนในแบรนด์ฮ็อปอินน์อีกปีละ
7-10 แห่ง ด้วยงบประมาณราว 80-100 ล้านบาทต่อแห่ง จากจำนวนห้องพักปัจจุบันของแบรนด์ดังกล่าวกว่า 4,706 ห้องถือครองสัดส่วน 14% ของรายได้จากธุรกิจโรงแรมของบริษัท โดยต้องการผลักดันให้มีลูกค้าตลาดในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มสัดส่วนจาก 60% เป็น 80% ทำให้ในอีก 4 ปีข้างหน้า ดิ เอราวัณจะมีจำนวนโรงแรมเกิน 100 แห่ง จากปี 2563 ที่มีทั้งสิ้น 77 แห่ง

ด้านนางวรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ สายการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป กล่าวต่อไปว่า ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ อัตราการเข้าพักของโรงแรมในแบรนด์ฮ็อปอินน์ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์อยู่ที่ 78% และ 80% ตามลำดับ ในขณะที่โรงแรมอื่น ๆ ในเครือมีอัตราการเข้าพักในเดือนมกราคมราว 80% ก่อนจะลดลงด้วยผลกระทบของไวรัสเหลือเพียง 60% ทำให้บริษัทให้ความสำคัญกับแบรนด์ฮ็อปอินน์ และเชื่อว่าแบรนด์จะสามารถทำอัตราการเข้าพักเฉลี่ยได้ราว 75% ใกล้เคียงกับปีก่อน


โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมกว่า 6.38 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 446 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากในปีที่แล้วอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของเครือนอกเหนือจากแบรนด์ฮ็อปอินน์ลดลง 4% เช่นเดียวกับที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) ลดลงราว 7% ส่วนแบรนด์ฮ็อปอินน์ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเพิ่มขึ้น 1% และ 5% ตามลำดับ