
เจ้าหญิงไดอานาสิ้นพระชนม์ วันที่ 31 ส.ค. เมื่อ 25 ปีก่อน มีเรื่องราวที่ผู้คนจดจำ และมีบทเรียนสำหรับวังอังกฤษ
วันที่ 31 สิงหาคม 2565 สำนักข่าว เอพี รายงานรำลึก 25 ปี เจ้าหญิงไดอานาสิ้นพระชนม์ ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่อุโมงค์ทางลอดสะพานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 31 ส.ค. 1997 (พ.ศ. 2540)
รายงานหนึ่งเป็นบทสัมภาษณ์เปิดใจคุณหมอผู้เคยพยายามยื้อชีวิตเจ้าหญิงไดอานา ช่วงวินาทีสุดท้ายก่อนวาระที่เจ้าหญิงจากไปครบ 25 ปี

ตอนนั้น หมอเฟรเดริก ไมย์ลิเยซ์ ยังไม่ทราบว่าร่างผู้หญิงที่ร่วงลงไปอยู่บนที่พักเท้าในรถเบนซ์ที่พังยับเยิน สภาพหมดสติและพยายามหายใจเป็นใคร ขณะที่หมอพยายามช่วยชีวิต
25 ปีต่อมา นพ.ไมย์ลิเยซ์ยังคงจดจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่จุดเกิดเหตุ เพราะเป็นคนหนึ่งที่พยายามช่วยชีวิตเจ้าหญิงไดอานา จนมีชื่อปรากฏอยู่ในเหตุการณ์สำคัญช็อกโลก
ผู้หญิงในซากรถเบนซ์
คืนที่เกิดเหตุ หมอกำลังขับรถกลับบ้าน จังหวะที่ขับลอดอุโมงค์ก็เห็นรถเบนซ์ควันโขมง สภาพรถยับเกือบจะหักเป็น 2 ท่อน

หมอหยุดรถและตรงไปที่ซากรถเบนซ์ เปิดประตูดูภายใน เห็นร่างคนอยู่ข้างใน 4 คน ในจำนวนนี้ 2 คนเสียชีวิตแล้ว ไม่มีปฏิกิริยา ไม่หายใจ ส่วนอีก 2 คน เป็นคนขับด้านหน้าร้องด้วยความเจ็บปวด ส่วนผู้โดยสารหญิงสาวคุกเข่าอยู่บนที่พักเท้า ศีรษะตก หายใจลำบากและต้องการความช่วยเหลือด่วน
หมอวิ่งไปที่รถคว้าอุปกรณ์ฉุกเฉินและถุงช่วยหายใจมาช่วยหญิงสาวที่หมดสติช่วยเติมพลังให้เล็กน้อย แต่พูดไม่ได้

หลังจากนั้น หมอทราบข่าวพร้อมกับชาวโลกว่าผู้หญิงที่ช่วยไว้ คือ เจ้าหญิงไดอานาเพราะตอนที่ช่วยเหลือผู้โดยสารด้านหลัง เพียงแต่รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ขณะที่หมอมุ่งอยู่กับการช่วยชีวิตจึงไม่มีเวลาคิดว่าเป็นใคร
ตอนนั้นมีคนยืนอยู่ด้านหลังพูดว่าผู้หญิงคนนั้นพูดภาษาอังกฤษ หมอจึงพูดภาษาอังกฤษด้วย บอกว่าตนเองเป็นหมอและเรียกรถพยาบาล
ระหว่างนั้น หมอเห็นแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปของเหล่าบรรดาปาปาราซซีที่รุมถ่ายสถานที่เกิดเหตุ
หน่วยสืบสวนสอบสวนอังกฤษสอบปากคำนายอองรี ปอล พบว่าดื่มเหล้าและขับรถด้วยความเร็วสูงเพื่อหนีเหล่าปาปาราซซีที่ไล่ล่าถ่ายรูปเจ้าหญิง

ทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิต
หมอชาวฝรั่งเศสไม่ได้ตำหนิช่างภาพหลังจากเกิดเหตุรถชนเพราะไม่ได้ขัดขวางการช่วยชีวิตและหมอเองก็ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากช่างภาพด้วย
พนักงานหน่วยกู้ภัยมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วและนำเจ้าหญิงไดอานาไปที่โรงพยาบาลปารีส แต่เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ในอีก 2-3 ชั่วโมงถัดมา ส่วน โดดี อัล-ฟาเยด คนรักของเจ้าหญิง และคนขับรถเสียชีวิตเช่นกัน

ไมย์ลิเยซ์ตกใจมากที่ทราบว่าเธอผู้นั้นคือเจ้าหญิงไดอานา จากนั้น คิดทบทวนว่าตนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยพระองค์แล้วหรือไม่ ทั้งตรวจสอบกับอาจารย์แพทย์และตำรวจสืบสวนสอบสวน ทุกคนลงความเห็นว่าตนทำถูกต้องแล้ว
วาระครบรอบวันสิ้นพระชนม์หวนกลับมาอีกครั้ง แต่สำหรับหมอไมย์ลิเยซ์นึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นทุกครั้งที่ขับรถผ่านอุโมงค์อัลมา
เจ้าหญิงเหนือกาลเวลา
ปัจจุบัน เสาที่รถยนต์พระที่นั่งชน มีภาพวาดลายฉลุเป็นพระพักตร์ของเจ้าหญิงไดอานา
ส่วนอนุสรณ์ Flame of Liberty ที่ตั้งอยู่ใกล้กับอุโมงค์ดังกล่าวเป็นสถานที่ดึงดูดผู้ที่รักเจ้าหญิงทุกรุ่น ทุกเชื้อชาติ เจ้าหญิงทรงอยู่เหนือกาลเวลาและเป็นแฟชั่นไอคอนของผู้ที่เกิด หลังจากเจ้าหญิงสิ้นพระชนม์

อิริเนีย อูอาห์วี ชาวปารีสวัย 16 ปี มาเยือนอนุสาวรีย์ Flame of Liberty กล่าวว่ารู้จักเจ้าหญิงผ่านคลิปใน TikTok และแม่เล่าให้ฟัง เธอเห็นว่าสไตล์การแต่งตัวของเจ้าหญิงเป็นแนวผู้หญิง แต่ท้าทายขนบธรรมเนียมในวัง ทั้งสวมกางเกงปั่นจักรยานและกางเกงลำลอง
ฟรองซิน โรเซ อายุ 16 ปี ปั่นจักรยานมาหยุดดูอนุสรณ์เจ้าหญิงเช่นกันเพราะดูซีรีส์ “Spencer” ที่คริสเทน สจวร์ต สวมบทบาทเป็นเจ้าหญิงไดอานา
วัยรุ่นสาวชาวเนเธอร์แลนด์กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจเพราะพระองค์ทรงอยู่ในที่ประทับซึ่งมีกฎระเบียบราชวงศ์มากมายและพระองค์ทรงต้องการเป็นอิสระ
ไม่มีคำอื่นใดนอกจากช็อก
สำหรับเหตุการณ์ที่ทำให้เจ้าหญิงไดอานาสิ้นพระชนม์ ไม่อาจหาคำบรรยายอื่นได้ไปกว่า ช็อก
คนทั่วโลกติดตามข่าวคราวของเจ้าหญิงมาตั้งแต่ยังเป็นคุณครูสาววัยรุ่นเขินอาย จนกลายมาเป็นเซเลบริตีผู้สง่างาม เดินทางไปปลอบขวัญผู้ป่วยโรคเอดส์อย่างใกล้ชิด และรณรงค์การเก็บกู้กับระเบิด โดยไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าหญิงจะจากไปด้วยวัยเพียง 36 ปีเท่านั้น

“ผมคิดว่า เราต้องย้อนคิดถึงว่า พระองค์ทรงเป็นสตรีที่คนรู้จักมากที่สุดในโลก เคียงข้างกับควีนเอลิซาเบธที่สอง” เอ็ด โอเวนส์ นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าว
และว่า “ในฐานะเซเลบริตีที่ดังมาก จู่ ๆ คืนวันหนึ่งเกิดเหตุสลดที่ทำให้พระองค์ต้องเสียชีวิต ด้วยวัยเพียงเท่านั้น ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องช็อกมหาศาลสำหรับหลาย ๆ คน”
บทเรียนสำหรับราชวงศ์
บทเรียนหนึ่งที่สำนักพระราชวังอังกฤษได้เรียนรู้จากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอานา สื่อผ่านกองดอกไม้จำนวนมหาศาลที่ประชาชนนำมาวางไว้อาลัยด้านหน้าประตูวังเคนซิงตัน ก็คือการเข้าถึงประชาชนอย่างเป็นกันเองของเจ้าหญิงไดอานา ซึ่งตอนนั้นไม่ปรากฏในราชวงศ์วินด์เซอร์

บทเรียนเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจให้สมาชิกพระราชวงศ์ รวมถึงเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี พระโอรสของเจ้าหญิง แสดงออกกับผู้อื่นโดยไม่เป็นต้องเป็นทางการ และยังเข้าถึงได้
เห็นได้ชัดว่าในงานคอนเสิร์ตฉลองควีนทรงครองราชย์ครบ 70 ปี เมื่อเดือน มิ.ย. บรรยากาศเข้าถึงประชาชน มีทั้งวงดนตรีร็อก นักร้องโอเปรา มีการยิงเลเซอร์ภาพสุนัขทรงเลี้ยงบนท้องฟ้า และที่เรียกเสียงปรบมือกราวใหญ่ที่สุด คือคลิปที่ควีนทรงจิบชาและสนทนากับตัวละครหมีแพดดิงตัน

แต่บทเรียนที่ดูเหมือนยังแก้ไขไม่ได้ คือการที่สมาชิกราชวงศ์พัวพันกับเรื่องอื้อฉาว เช่น กรณีเจ้าชายแอนดรูว์ พระโอรสองค์ที่สองของควีน ทรงตกเป็นที่ครหาว่าคบหาสนิทสนมกับนายเจฟฟรีย์ เอปสตีน ผู้ต้องหาคดีทางเพศต่อผู้เยาว์ ไปจนถึงกรณีอื้ออึงที่เจ้าชายแฮร์รี และเมแกน ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูง และย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกา
เมแกนเผยว่า รู้สึกถูกบีบคั้นกับการใช้ชีวิตในวัง และแม้กระทั่งถูกสมาชิกราชวงศ์ทักว่า โอรสที่เพิ่งคลอดนั้นมีสีผิวอะไร

กรณีนี้ดูเหมือนว่าบทเรียนในอดีตของเจ้าหญิงไดอานายังไม่ได้เป็นที่เรียนรู้ของคนในวัง นักประวัติศาสตร์อย่างโอเวนส์ มองว่า นี่เป็นอีกครั้งที่ยังไม่ได้สร้างพื้นที่ให้เพียงพอสำหรับเมแกน
เอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ น้องชายของเจ้าหญิงไดอานาให้สัมภาษณ์ในวาระนี้ว่า การสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอานา มาจากการที่พระองค์ถูกบีบให้ต้องปฏิเสธการคุ้มครองความปลอดภัยจากวัง หลังการหย่าร้างกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์

อย่างไรก็ตาม คำพูดที่เจ้าหญิงต้องการบอกถึงปรารถนาของพระองค์ยังคงอยู่ในความทรงจำที่ไม่เสื่อมคลาย ตอนนั้นเจ้าหญิงตรัสว่า
“ข้าพเจ้าอยากจะเป็นราชินีในหัวใจประชาชน แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะเห็นตัวเองเป็นราชินีของประเทศนี้ ข้าพเจ้าไม่คิดว่า มีคนมากมายที่อยากเห็นข้าพเจ้าเป็นราชินี”
….