
การเลือกตั้งทั่วไปของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกเริ่มต้นขึ้นแล้วในวันที่ 19 เมษายน 2024 นี้ และจะดำเนินไปเป็นเวลา 6 สัปดาห์ จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2024 และจะประกาศผลในวันที่ 4 มิถุนายน
การเลือกตั้งของอินเดียนอกจากถูกจับตามองในฐานะ “การเลือกตั้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก” แล้ว ก็ยังถูกจับตามองในฐานะที่อินเดียเป็นประเทศ “ดาวเด่นทางเศรษฐกิจ” แห่งยุค อีกทั้งเป็นประเทศที่เป็นมีบทบาทในการเมืองโลกมากขึ้นด้วย
นเรนทรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอินเดียที่อยู่ในตำแหน่งมาแล้ว 2 สมัย กำลังลุ้นตำแหน่งสมัยที่ 3 ของเขาเพื่อที่จะปกครองประเทศที่มีประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน ซึ่งหากโมดีได้เป็นนายกฯอีกสมัย เขาจะเป็นคนแรกที่ได้ปกครองประเทศติดต่อกัน 3 สมัยเทียบเท่า ยาวาฮาร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศอินเดีย
มีอะไรน่ารู้บ้างเกี่ยวกับการเลือกตั้งของอินเดีย “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมมาแล้ว
การปกครองของอินเดีย
การปกครองอินเดียเป็นรูปแบบ “สาธารณรัฐ” (Federal Republic) อำนาจการปกครองแบ่งเป็น 28 รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก 7 เขต แยกศาสนาออกจากการเมือง (secular state) อำนาจบริหารแบ่งออกเป็น อำนาจบริหารส่วนกลาง และอำนาจบริหารระดับรัฐ
สำหรับอำนาจริหารส่วนกลาง มีฝ่ายนิติบัญญัติประกอบด้วย 2 สภา คือ ราชยสภา (Rajya Sabha) หรือวุฒิสภา และโลกสภา (Lok Sabha) หรือสภาผู้แทนราษฎร การตรากฎหมายต่าง ๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภา
รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ราชยสภามีสมาชิก 250 คน โดย 12 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทุก ๆ 2 ปี และอีก 233 คน มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ (Legislative Assemply) หรือวิธานสภา เป็นผู้เลือก ถือเป็นผู้แทนของรัฐและดินแดนสหภาพ
ส่วนโลกสภามีสมาชิก 545 คน โดย 543 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง (530 คน มาจากแต่ละรัฐ 13 คน มาจากดินแดนสหภาพ) และอีก 2 คน มาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดีจากชุมชนชาวผิวขาว (Anglo-Community) ในประเทศ สมาชิกโลกสภามีวาระคราวละ 5 ปี เว้นแต่จะมีการยุบสภา

ฝ่ายบริหารส่วนกลางมี “ประธานาธิบดี” เป็นประมุขของรัฐ และเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหาร (Head of Executives of the Union) ซึ่งประกอบด้วยรองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้ง 2 สภา รวมทั้งสภานิติบัญญัติของแต่ละรัฐ ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี และสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวาระที่ 2 ได้
รองประธานาธิบดี ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้ง 2 สภา ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี และเป็นประธานราชยสภาโดยตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารอย่างแท้จริง ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี มาจากการเลือกของโลกสภา เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) ซึ่งคณะรัฐมนตรีรายงานโดยตรงต่อโลกสภา
กระบวนการเลือกตั้งทั่วไป
การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นการเลือกตั้งเพื่อชิงที่นั่งใน “โลกสภา” หรือสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 543 ที่นั่ง ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี
อินเดียกำหนดให้พลเมืองอายุ 18 ปีขึ้นไปเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 968 ล้านคน โดย 48% เป็นผู้หญิง และมี 18 ล้านคนเป็นวัยรุ่นที่มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก
การเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียแบ่งออกเป็น 7 ระยะ เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2024 ถึง 1 มิถุนายน 2024 โดยมีการจัดตั้งหน่วยเลือกตั้งมากกว่า 1 ล้านหน่วย และมีพนักงานของรัฐบาลกลางและรัฐบาลของรัฐจำนวน 15 ล้านคน ทำหน้าที่จัดการการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการฝึกซ้อมระบบโลจิสติกส์ในช่วงเวลาสงบที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะของแต่ละเขตที่ได้เข้าไปนั่งเป็น ส.ส. ในโลกสภา โดยพรรคหรือแนวร่วมจัดตั้งรัฐบาลจะต้องได้ที่นั่ง ส.ส. 272 ที่นั่งจึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ได้เลือก “นายกรัฐมนตรี” โดยตรง แต่สมาชิกสภาจะเป็นผู้เลือก ซึ่งโดยปกติแล้วผู้นำพรรคหรือแนวร่วมที่ครองที่นั่งส่วนใหญ่ในโลกสภาจะได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อได้รับเลือกจากสภาแล้วจึงได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากประธานาธิบดี
ทำไมเลือกตั้งนานกว่า 1 เดือน
เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก และเจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งเข้าถึงครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ ซึ่งตลอดกระบวนการต้องใช้ยานพาหนะถึง 400,000 คัน บางครั้งอาจใช้เฮลิคอปเตอร์ เรือ ล่อ หรือแม้แต่ช้าง เพื่อเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ยังมีการส่งกองกำลังรักษาความปลอดภัยไปยังพื้นที่ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าการเลือกตั้งจะปราศจากความรุนแรง และเพื่อรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่การเลือกตั้งและการขนส่งเครื่องลงคะแนนเสียง
เจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งบอกว่า กระบวนการทั้งหมดต้องใช้เวลา ดังนั้น การจัดการเลือกตั้งจึงต้องจัดให้กระจายออกไปเป็นเวลาหลายสัปดาห์
ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของอินเดียส่วนใหญ่จะลงคะแนนโดยใช้เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ (EVM) ส่วนผู้ที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไปและผู้ทุพพลภาพสามารถเลือกใช้ระบบบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์ได้
ยังไม่มีการเปิดเผยว่า การเลือกตั้งของอินเดียในปี 2024 ใช้งบประมาณไปเท่าใด แต่การศึกษาก่อนหน้านี้โดยศูนย์สื่อศึกษา (Centre for Media Studies) ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองในกรุงนิวเดลีพบว่า การเลือกตั้งปี 2019 มีการใช้จ่ายเงินมากกว่า 550,000 ล้านรูปี (ประมาณ 242,950 ล้านบาท) จึงคาดว่าการเลือกตั้งปี 2024 นี้จะใช้งบประมาณมากกว่า 550,000 ล้านรูปี

คู่แข่งหลักและประเด็นตัดสินชัยชนะ
พรรคภารติยะชนตะ (BJP) ซึ่งเป็นพรรคแนวคิดชาตินิยมฮินดูของ นเรนทรา โมดี (Narendra Modi) มีแนวโน้มที่จะคว้าชัยชนะมากกว่ากลุ่มแนวร่วมเพื่อการพัฒนาแห่งชาติแห่งอินเดีย (Indian National Developmental Inclusive Alliance : INDIA) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ โดยการรวมตัวของพรรคฝ่ายค้านประมาณ 24 พรรค ที่กำลังต้องดิ้นรนเอาชนะความแตกต่างระหว่างสมาชิกในแนวร่วม ความท้าทายทางกฎหมายที่ผู้นำคนสำคัญต้องเผชิญ และช่องว่างทางการเงินขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับพรรครัฐบาลที่ร่ำรวย
นเรนทรา โมดี ยังคงได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค BJP อีกสมัย แต่ฝั่งพันธมิตรฝ่ายค้านยังไม่ได้เสนอชื่อผู้ที่จะเป็นนายกฯของตนเอง ราหุล คานธี (Rahul Gandhi) ผู้นำพรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย (Indian National Congress : INC) ซึ่งเป็นพรรคใหญ่สุดในแนวร่วมประกาศเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมาว่า “กลุ่ม INDIA ได้ตัดสินใจที่จะสู้ศึกเลือกตั้งด้วยอุดมการณ์ (ต่อต้าน BJP) และจะตัดสินใจหลังจากชนะการเลือกตั้งว่าใครจะเป็นผู้นำและนายกรัฐมนตรี”

จากการสำรวจความคิดเห็นของ TV-CNX ของอินเดียที่เผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายน คาดว่า BJP จะได้ที่นั่งไปมากถึง 342 ที่นั่ง ส่วนพรรคคองเกรสแห่งชาติ แกนนำฝั่งตรงข้ามจะได้ไปเพียง 38 ที่นั่ง ขณะที่โมดียืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการปราศรัยต่อสาธารณะว่า พันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติที่นำโดย BJP จะมีที่นั่งเกิน 400 ที่นั่ง โดยพรรคของเขาเองเพียงพรรคเดียวก็ได้ที่นั่งไปแล้วกว่า 370 ที่นั่ง
ปัจจัยหลักที่ทำให้ BJP มีคะแนนนิยมมากกว่าแนวร่วมฝ่ายตรงข้ามก็เพราะว่า ในช่วง 10 ปีแห่งการปกครองของ BJP สองสมัยที่ผ่านมา BJP ได้ยึดกุมความนิยมในหมู่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวฮินดู (ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดในประเทศ) เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยการปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
ในปี 2019 โมดีได้ยกเลิกสถานะ “ปกครองตนเอง” ของแคชเมียร์ และในเดือนมกราคมปีนี้ โมดีได้เปิดวัดพระรามอันยิ่งใหญ่ในเมืองอโยธยา ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ขัดแย้งระหว่างผู้นับถือศาสนาฮินดูและผู้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งได้ใจชาวฮินดูไปเต็ม ๆ ล่าสุด เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลของโมดีได้บังคับใช้กฎหมายสัญชาติที่ให้สัญชาติแก่ชาวฮินดู และอีกหลายศาสนา ที่เดินทางจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าอยู่อาศัยในอินเดียก่อนเดือนธันวาคม 2014 ยกเว้นเพียงชาวมุสลิม จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิม

อีกประเด็นคือ การชูเรื่องเศรษฐกิจของ BJP ทั้งการสานต่อโครงการและเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ทำมาในสมัยก่อนหน้า และการให้เงินอุดหนุนราคาสินค้าและบริการที่จำเป็น ในขณะที่ผลสำรวจพบว่าประชาชนชาวอินเดียกังวลกับเรื่องเศรษฐกิจ เดือดร้อนกับการหางานทำยาก และได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ จึงทำให้ BJP มีแนวโน้มที่จะคว้าชัยชนะไปได้ ในขณะที่พรรคคองเกรสชูเรื่องที่ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญของประเทศกำลังถูกคุกคามจากฝ่ายบริหารของ BJP ซึ่งเป็นเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองที่ไกลตัวกว่า
เลือกตั้งอินเดียสำคัญต่อโลกอย่างไร
ด้วยความที่อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และมีประชากรวัยหนุ่มสาวในสัดส่วนที่สูง อินเดียจึงได้รับการคาดการณ์ว่าจะเป็นผู้เล่นสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ด้วยแนวโน้มการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลก
ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีจีดีพี 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และตั้งเป้าที่จะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2027
ตลาดหุ้นอินเดียแซงหน้าตลาดหุ้นฮ่องกงขึ้นเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และในปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
นักวิเคราะห์คาดว่า โมดีจะชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นนายกรับมนตรีสมัยที่ 3 ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียต่อไป
นอกจากนั้นในเรื่องบทบาทในการคานอำนาจกับจีน เป็นสิ่งที่ชาติตะวันตกกำลังจับตามองและคาดหวังจากอินเดียเป็นอย่างยิ่ง
ชิติกัจ พัชปาอี (Chietigj Bajpaee) นักวิจัยอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียใต้ของ ชาแธม เฮาส์ (Chatham House) สถาบันคลังสมองจากอังกฤษกล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา อินเดียได้สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับชาติตะวันตก และการได้รับเลือกตั้งอีกสมัยของโมดีจะสามารถกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอินเดียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เขากล่าวอีกว่า อินเดียถูกมองว่าเป็น “ป้อมปราการต่อต้านจีน” ดังที่เห็นว่าฝ่ายบริหารของไบเดนยังคงสนับสนุนบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐให้ย้ายการดำเนินงานด้านการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีออกจากจีนไปยังประเทศที่เป็นมิตร เช่น อินเดีย